lifestyle change ในสังคม globalization มีความชัดเจนในกระบวนการผลิต กระบวนการเรียกร้อง
กระบวนการบริโภค เริ่มต้นจากสถานะทางจิตและความคิดทางปัญญา ที่ตอบโต้กับวิธีคิดว่าด้วยสงครามเวียดนาม
มันเหมือนกับยิงพลุขึ้นไปบนท้องฟ้า มันไม่ใช่ดอกเดียว แต่มันแตกเป็นหลายดอก
ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะหมายถึง lifestyle กระบวนการกินและการอยู่ มีการตั้งคำถามว่า
กินและทำงานเพื่ออะไร? อยู่เพื่ออะไร? มันปะทุขึ้นมาพร้อมๆ กับความคิดทางการเมือง
คุณลืมไปว่า คุณไว้ผมยาว ไว้ทำไม? ไว้ผมก็ไม่แปลกอะไร สมัยพระเจ้าหลุยส์ก็ใส่ผมปลอม
แต่นั่นเป็นกระบวนการแสดงของ lifestyle ของชนชั้นสูงแต่กระบวนการผมยาวของสงครามเวียดนาม
คือการต่อต้านคนตัดผมเกรียนของทหาร เป็น lifestyle ที่เกิดจากกระบวนการต่อต้าน
การแต่งตัวของฮิปปี้ก็แสดงออกซึ่งความคิดเช่นกัน ซึ่งไปกำหนดการบริโภค
พร้อมๆ กับสงครามเวียดนาม คือ การแตกตัวและเคลื่อนไหวของทุนของโลก ซึ่งเร็วขึ้นๆ
และไปที่ต่างๆ มากขึ้น การเคลื่อนตัวของเทคโนโลยีที่ไม่มีอะไรขวางกั้น เทคโนโลยียิ่ง
สูงขึ้น ยิ่งใช้ในการผลิตมากขึ้น mass production ซึ่งไม่ต้องใช้ craft จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้
สองขบวนการนี้ เกิดพร้อมกัน สิ่งที่เราได้คือ คนที่แสดง lifestyle ของตัวเอง
มีอายุมากขึ้นๆ จนกลายเป็น CEO ของบริษัท เป็น Lawyers สำคัญของโลก เป็นสมาชิกสภา
ก็เริ่มออกกฎหมายเกี่ยวกับชีวิตของคน
ยิ่งหลังจากโซเวียตรัสเซียแตก ยิ่งชัดเจน แล้วจีนบอกว่า เอาแมวขาวแมวดำจับหนูก็ได้
เมื่อไม่มีการต่อสู้ทางอุดมการณ์แล้ว ในยุโรปแล้วเปลี่ยน lifestyle consumption
คือไม่มีเรื่อง ข้างนอกให้คิด ก็เริ่มคิดเรื่องตัวเอง จะเห็นว่าหนังสือว่าด้วยเลี้ยงลูกอย่างไรจึงมีความสุข
how to become a millionaire นั่งสมาธิอย่างไร เป็นหนังสือประเภท how to
และ selfcenter เป็นที่นิยม
ผมกำลังบอกว่าสถานการณ์สงครามยุคใหม่ เรียกว่า vietnam war ได้ให้นิยาม
lifestyle ใหม่ ถามว่า เหตุการณ์ที่ World Trade Center จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
consumption ใหม่ของโลกหรือเปล่า? เปลี่ยน lifestyle หรือไม่?
ผมไปพูดเรื่องนี้ให้กับกรมส่งเสริมการส่งออก ให้ผู้แทน การค้าไทย 53 หน่วยในโลกนี้ฟังกัน
ผมเชื่อว่าไม่มี consumption shift เพราะกระบวนการที่ผมว่านี้ยังเคลื่อนตัวไม่ได้เต็มที่เลย
เพิ่งเคลื่อนและเห็นชัดมากขึ้น
คำถามที่ว่าตึกสองตึกพังนี้ สภาวะสงครามที่ไม่ใช่สงครามอย่างต่อเนื่องในรูปแบบเปิดเผย
แต่เป็นสงครามที่เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวไม่เห็น random violence เช่นว่านี้ จะเปลี่ยนกระบวนการ
consumption shift หรือไม่? ไม่เปลี่ยน
ในที่สุดโลกก็ต้องปรับตัวเอง
ถ้าจะเดินทางไปต่างประเทศ เราต้องใช้เวลาอยู่สนามบินมากขึ้น
เช่นเดียวกัน dotcom ไม่อาจจะ communicate ได้อย่างรวดเร็ว เพราะมี terrorist
อีกอย่างหนึ่งใน dotcom อีกอย่างหนึ่ง คือ Virus รัฐจะจัดการอย่างไรกับ terrorist
นี้ ซึ่งไม่รู้เป็นใคร ไม่มีอุดมการณ์ว่าด้วยการบริหารทุน ต่อรองก็ไม่ได้
จะรบก็ไม่ได้ ไม่รู้จะรบอย่างไร ผลุบโผล่ที่โน่นที่นี่ มันจะลำบากมากใน การจัดการ
นั่นคือ สิ่งที่เราต้องปรับตัวเอง สิ่งที่ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ เวลา
10 ปีที่ผ่านมา กระบวนการซื้อขายสินค้า แบบใหม่ post modern ก็คือว่า ผมอยู่ลอนดอน
ผมอยู่ Harrods ผมสั่งผักสดจากไทย ผมไม่ทำ cold storage ที่ลอนดอน คุณต้องแพ็กมังคุดที่ผมสั่ง
โดยมีถุงแพ็กที่มีตรา Harrods แล้ว มีคอมพิวเตอร์ stripe ให้เสร็จ คุณเอาไปส่งทาง
airfreight ส่งไปลอนดอนตอนเช้ามืด ผมเอารถรับคาร์โก้นี้ เอาเข้าตู้เย็นเลย
นั่นคือ กระบวนการ warehousing ของผู้ขายไปตกอยู่ที่ ผู้ผลิต ไม่ตกกับ
Harrods ไม่ตกกับผู้สั่งซื้อ มันเป็นกระบวนการ just in time
แต่ขณะนี้คุณทำเช่นเดิมอีกไม่ได้ เพราะกระบวนการ ตรวจสอบสินค้าเพื่อป้องกันการวางระเบิดได้เกิดขึ้น
ต่อไปนี้โลกตะวันตกจะปรับตัวใหม่ ในอดีตผู้ผลิตจะต้องรับผิดชอบทุกอย่าง แต่ตอนนี้มันจำเป็นที่ผู้ซื้อต้องมีสต็อกไว้เอง
เพื่อจะได้มีของไว้ขาย และต้องเตรียมการมากขึ้นเพื่อชดเชยกับเวลาที่เสียไปกับกระบวนการตรวจสอบที่ใช้เวลามากขึ้น
วางแผนมากขึ้นกว่าเดิม ต้องมี inventory
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ต้องเกิดขึ้นกับปัญหา supply chain
อีกเรื่องหนึ่ง การส่งของภายในประเทศต้องช้าลง เพราะต้องมีกระบวนการตรวจตรามากขึ้น
โอกาสของไทยเกิดขึ้น If you don't come to Thailand, we take Thailand
to you. เราก็ไปสร้าง Thailand Plaza ในยุโรปและอเมริกา ให้คนได้รู้สึก ถึงไม่ได้ไปเมืองไทย
ไปตึกนี้ ได้สูดบรรยากาศความรู้สึกไทยที่ชอบ มาซื้อของไทย มาสั่งออร์เดอร์ของไทย
มาหารายได้ตรงนี้ physical center of display products สำคัญมาก
เราอยากไปตั้งที่ฝรั่งเศส ที่เมืองริยองส์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางแสดง exhibition
ของโลกด้วย ของ silk และ food เวลาคนจะไปทำธุรกิจดีลกัน ก็ไปดีลที่ริยองส์นี้
นอกจากนี้ยังมี Art School ดีๆ ที่นี่ และ Tax
ความตกต่ำทางเศรษฐกิจโลกอย่างที่พูดๆ กัน หลังจากอเมริกา ผ่านความเจ็บปวด
ผมเชื่อว่าจะมีนักคิดในอเมริกา ที่จะให้คำจำกัดความหมายใหม่ของชีวิตของอเมริกันได้
และ เป็นในเชิงการเปลี่ยน lifestyle ที่เร่งการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นก็ได้
เป็นไปได้มาก
มีอีกเรื่องที่สำคัญมากในฐานะที่เราเป็นเมืองพุทธ มีวิถีชีวิตของตนเองและยินดีต้อนรับผู้คนทุกชาติ
ศาสนา ถ้าเรารณรงค์ออกไปได้อย่างละเมียด เราจะได้ทั้ง business และ income
ผลผลิตของเราสามารถ synthesize peaceful living ได้ เพราะ stress ที่กำลังเกิดขึ้นในโลกนี้
จะต้องมีกระบวนการ destress งานนี้ต้องโฆษณา 500 ล้านบาทไปเลย คนไม่ต้องการความเครียด
ขอให้มาเที่ยวประเทศที่ไม่เครียด
(สรุปความจากบทสัมภาษณ์ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ หลังเหตุการณ์ถล่มสหรัฐอเมริกา)