Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2544








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2544
พันศักดิ์ วิญญรัตน์ Professinal Thinker             
 

   
related stories

ก้าวแรกของการรื้อทฤษฎี East Asia Economic Model (EAEM)
ไม่มี consumption shift
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่จริงๆ
วีรพงษ์ รามางกูร มากกว่าความเป็นนักเศรษฐศาสตร์
วิโรจน์ นวลแข ภารกิจสร้าง Lead Bank และธนาคารชุมชน

   
search resources

พันศักดิ์ วิญญรัตน์




ใน 2 ทศวรรษมานี้ เขาถือเป็นนักคิดที่ทรงอิทธิพลมากคนหนึ่ง ต่อการเดินแผนยุทธศาสตร์ประเทศ โดยเฉพาะใน 2 ช่วงสำคัญ ช่วงเศรษฐกิจเติบโตครั้งใหญ่ (ยุคชาติชาย 2531-2534) และยุคการแสวงหาแนวทางใหม่หลังช่วงล่มสลายของโมเดลเศรษฐกิจเดิมในยุคปัจจุบัน (ยุคทักษิณ 2544-ปัจจุบัน)

พันศักดิ์ วิญญรัตน์ คนที่มีภูมิหลังแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบุคคล ที่เคยอยู่ในกระบวนการผลิตนโยบายยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมา ในฐานะ "คนนอก" มีบางจังหวะที่กระโจนเข้าสู่ "วงใน" ในช่วงสั้นๆ แต่เขาจำเป็นต้องระเห็จออกจากประเทศไทยถึง 2 ครั้ง 2 คราในช่วง 15 ปี ด้วยแรงกดดันทางการเมือง

ที่สำคัญความคิดอย่างเป็นระบบของเขาต่อยุทธศาสตร์ประเทศไทย มิใช่ก่อตัวขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หากได้เกิดขึ้นและพิสูจน์ความถูกผิดมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ทศวรรษ

แม้ประสบการณ์ของเขาจะดูหลากหลาย แต่สาระสำคัญที่ต่อเนื่องก็คือ เขาอยู่กับการคิดเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในระดับโลกเสมอมา

เขาเกิดจากครอบครัวที่เติบโตขึ้นใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พ่อของเขา-ประยูร วิญญรัตน์ มาจากครอบครัวยากจนย่านคนจีนแถวสี่พระยา แต่เนื่องจากเรียนหนังสือเก่ง มาก จบ ม.8 สอบได้ที่ 2 ของประเทศ เลยได้ทุนหลวงไปเรียนต่อประเทศอังกฤษ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในปี 2473 ใช้เวลาเรียนถึง 8 ปี กลับเมืองไทยอีกครั้งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองแต่อยู่ในอำนาจเผด็จการทหาร

ประยูร เริ่มต้นเรียนที่ London School of Economics รุ่นก่อน บุญมา วงศ์สวรรค์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และพิสุทธิ์ นิมมานเหมินท์ เรียนได้เกือบครบ 1 ปี เจ้าของทุน (กระทรวงการคลัง) เกรงว่าจะเป็น "ฝ่ายซ้าย" จึงมีคำสั่งให้ย้ายไปเรียนบัญชีแทน เขาเล่า ว่าเขาถูก Scotlandyard ติดตามดูพฤติกรรมอยู่เป็นปี เขาจบการศึกษา ACA (Associate of the Institute of Chartered Accountant in England and Welsh) คนที่ 4 ของประเทศไทย ต่อจากพระยาไชยยศสมบัติ หลวงดำริอิศรานุวัตร และศิริ ฮุนตระกูล (จากหนังสือ "เมื่อ 60-70 ปีมาแล้ว...นายประยูร วิญญรัตน์ เล่าให้ฟังเมื่ออายุ 72 ปี พ.ศ.2526)

การเข้ารับราชการกระทรวงการคลังในฐานะนักเรียนนอก นับเป็นการไต่เต้าทางสังคมอย่างสำคัญในยุคนั้น ยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เปิดโอกาสให้ชน ชั้นนำใหม่ๆ เกิดขึ้น

"ประยูรเคยใฝ่ฝันที่จะเป็นข้าราชการ กระทรวงมหาดไทย แต่ความฝันของเขาไม่เป็นจริง แม้ว่าเขาจะได้ทุนหลวงเดินทางไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตามทางเลือกที่สองที่กระทรวงการคลังก็ยังบรรลุ ผล หลังจากจบการศึกษาจากอังกฤษในช่วง ปลายทศวรรษ 2470 เขาก็เข้าทำงานที่กระทรวงการคลัง และช่วยวางรากฐานการตั้งสำนักงานธนาคารกลางครั้งแรกขึ้นในกระทรวงการคลังเมื่อปี 2481 และในช่วงสงครามเขาก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการผู้ดูแล ทรัพย์สินศัตรู รวมทั้งทรัพย์สินของธนาคารอังกฤษในประเทศไทยทั้งหมดด้วย" พันศักดิ์ วิญญรัตน์ เคยเขียนถึงพ่อของเขาเอาไว้ในบทความ "การต่อส้ของชิน โสภณพนิช กับธนาคารอาณานิคม นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กรกฎาคม 2530)

เขารับราชการไม่นาน ก็ได้รับการชักชวนจากบุญชู โรจนเสถียร (บุญชูเป็นลูกศิษย์ของประยูร วิญญรัตน์ ในฐานะอาจารย์ บัญชีที่ธรรมศาสตร์) ที่กำลังเข้ามาช่วยบริหาร ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะผู้ริเริ่มการเปิดสาขา ธนาคารครั้งแรกในประเทศไทย ในยุคเริ่มต้น การเข้ามากอบกู้กิจการของชิน โสภณพนิช และถือเป็นการวางรากฐานธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ในเวลาต่อมา ประยูร ดำรงตำแหน่งกรรมการธนาคารกรุงเทพอย่าง ยาวนาน ก่อนลาออกไป พร้อมๆ กับการเข้ามาเป็นกรรมการของชาติศิริ โสภณพนิช ลูกชายคนโตของชาตรี โสภณพนิช (ปี 2536) ในกระบวน การสืบต่อทายาทรุ่นที่ 3 ของโสภณพนิช ในธนาคารกรุงเทพ ไม่นานหลังจากนั้นชาติศิริก็ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ

พันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นบุตรชายคนที่ 2 เกิดในช่วงหลังสงครามไม่นาน ช่วงที่ว่ากันว่า พ่อของเขามีปัญหาในการทำงานในฐานะข้าราชการ และเป็นช่วงต่อกำลังจะเข้าทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ เขาเป็นนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย และจบปริญญาตรีด้านกฎหมายระหว่าง ประเทศ จากอังกฤษ จากนั้นก็มาทำงานอยู่ฝ่ายวิชาการ ธนาคารกรุงไทย ที่พ่อฝากให้ เขาทำงานเพียงช่วงสั้นๆ เนื่องด้วยเขาไม่ชอบ

การเริ่มทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ ถือเป็นงานที่ชอบที่ทำงานต่อเนื่องตลอดมา แม้ว่าจะขาดหายเป็นช่วงๆ อันเป็นภาพสะท้อนของวิกฤติสังคมไทยในยุคต่างๆ

เขาเริ่มอาชีพนักข่าวกับหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรายวัน Bangkok World (ก่อนจะรวมกับ Bangkok Post) และสำนักข่าวต่างประเทศ ในบางช่วงก็มีชีวิตในต่างประเทศ ที่สหรัฐฯ เขาอยู่เกือบสิบปี มีภรรยาคนแรกเป็นอเมริกัน ซึ่งเป็นคนในตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในสังคมอเมริกัน

การเริ่มต้นทำหนังสือพิมพ์ จตุรัสรายสัปดาห์ นับว่ามีความสำคัญที่เขาแสดงความคิดอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ร่องรอยความคิดสำคัญที่กล่าวกับ "ผู้จัดการ" เมื่อให้ทบทวนความคิดพื้นฐานก่อนจะพัฒนามามากในปัจจุบัน เมื่อเร็วๆ นี้ เอเชียอาคเนย์ไม่มี "พี่เอื้อย"

"สมัยทำจตุรัสใหม่ๆ พยายามเสนอความคิดและข้อเขียนที่ปลดปล่อยเอเชียอาคเนย์ จาก "พี่เอื้อย" ซึ่งการมีพี่เอื้อยมันมีต้นทุน (cost) สูงมาก เวลาที่ผ่านมามันก็พิสูจน์ว่า Southeast Asia อยู่ได้ แม้มีปัญหาระหว่างไทยกับลาว ลาวก็จะไม่สงสัยว่าไทยมีพี่เอื้อย"

เนื้อหาทำนองนี้ปรากฏในบทสัมภาษณ์ของเขาเองต่อทีมงาน "จตุรัส" เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2526 ก่อนที่จะปิดตัวเองอย่างถาวรในอีก 8 เดือนถัดมา พันศักดิ์ได้กล่าวบทสรุปความคิดของเขาไว้ว่า

"ปัจจุบัน ประเทศไทยไม่มีทหารจีไอ ไม่มีฐานทัพสหรัฐฯ มีแต่ฐานทัพไทยที่ให้ ศักดิ์บินสหรัฐฯ ใช้บางครั้ง ประเทศไทยไม่มีเงินช่วยเหลือฟรีทางทหารจากสหรัฐฯ ต้องซื้อทั้งนั้น ...2 ปีที่แล้ว (หมายถึงปี 2524) เศรษฐกิจโลกซบเซา แต่ของเรา Economic Growth ขึ้น 5.8% ศักยภาพเมืองไทยมันมหาศาล ระยะสองปีมานี้มีออฟฟิศธนาคารต่างประเทศ ทั้งนี้ไม่อนุญาตให้เปิดสาขาในประเทศไทย เปิดได้เพียงสำนักงานผู้แทนเท่านั้น มากันเกือบ 30 แบงก์ จะชนกันตายแถวถนนสีลม...เพราะฉะนั้นสิ่งที่จตุรัสหนึ่งและสองพูดถูก ถูกแจ็กพอตที่สุด การค้นหาศักยภาพตัวเองนั้นต้องมีเอกราชไม่ต้อง "ท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ" หรอก ไหนว่า "จตุรัส" เป็นหนังสือซ้าย ผมว่าไม่ใช่" (จตุรัส 3 ตุลาคม 2526)

หนังสือจตุรัสเป็นหนังสือพิมพ์ที่ได้รับ ความนิยมจากปัญญาชนยุคนั้น ที่ส่วนใหญ่ เพิ่งจบการศึกษาจากสหรัฐฯ ในยุคที่สังคมอเมริกันมีความขัดแย้งทางความคิดมากที่สุด ดร.วีรพงษ์ รามางกูร นักเศรษฐศาสตร์มหภาคที่มีชื่อเสียงไทยบอกว่า เขาก็เป็นคนรุ่นนั้นที่จบการศึกษามาในราวปี 2514-2515 เป็นอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ ที่จุฬาฯ ในยุคที่นิสิตเป็นฝ่ายซ้าย ก็ทำให้อาจารย์เป็นฝ่ายซ้ายไปด้วย

หนังสือพิมพ์จตุรัสในสายตาของวีร-พงษ์ เป็นหนังสือฝ่ายซ้าย ต่อต้านฐานทัพสหรัฐฯ ในประเทศไทย

จตุรัสหนึ่งและสองที่พันศักดิ์ วิญญรัตน์ พูดหมายถึงประวัติหนังสือจตุรัสที่เปิดและปิดหลายครั้งหลายครา

ในนิตยสารฉบับเดียวกันนั้น (3 ตุลาคม 2526) ซึ่งถือเป็นฉบับครบรอบ 3 ปีของยุคที่ 3 กล่าวถึงประวัติยุคต่างของจตุรัสเอาไว้ด้วย

ยุคที่หนึ่งเริ่มปี 2513 ทำได้ 4 ฉบับก็ถูกสั่งปิดในยุคเผด็จการ บางกระแสข่าวระบุ ว่าไปเสนอข่าว อูนุมาเดินในกรุงเทพฯ ทำให้ ทางการไทยไม่พอใจ ผ่านไปหลายปีเมื่อกระแสประชาธิปไตยเริ่มต้น หลัง 14 ตุลาคม 2516 ยุคที่สองเริ่มขึ้นในปี 2518 เมื่อเกิดเหตุ การณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็ถูกสั่งปิดอีกครั้ง คราวนี้ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ในฐานะบรรณา ธิการถูกจับติดคุกด้วย ในที่สุดทางการต้องยอมปล่อยตัว เพราะได้รับการร้องขอจากสหรัฐฯ โดยตรง

เขาเคยฟื้นความหลังเล่าให้ผู้เขียนฟัง เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว เพื่อนคนหนึ่งของเขาเป็น ผู้สอนศาสนาและสมถะ แต่ต่อต้านสงครามเวียดนาม บังเอิญเป็นเพื่อนกับ Dean Rusk รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก่อนหน้านั้น (1961-1969) ได้เขียนจดหมายถึง Dean Rusk เพื่อให้ช่วยเจรจารัฐบาลไทยปล่อยตัวเขาจากคุก

นั่นก็คือการอพยพครั้งแรกในการหนีภัยการเมือง ไปอยู่สหรัฐอเมริกาประมาณ 2 ปี

"จตุรัส" ยุคที่ 3 เริ่มต้นเมื่อเดือนกันยายน 2524 ซึ่งให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจมากขึ้น ตามสถานการณ์สังคมไทยที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คราวนี้ได้ทำอย่างต่อเนื่องยาวนานจนหมดเงินสนับสนุน จึงตัดสินใจเลิกกิจการเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน 2527

พันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นนักหนังสือพิมพ์ไทยที่ได้รับอิทธิพลจากหนังสือพิมพ์ในอังกฤษ อย่างมาก และได้รับถ่ายทอดประสบการณ์และความคิดหนังสืออังกฤษที่ "จตุรัส" เขาเคยเล่าว่านักหนังสือพิมพ์อังกฤษที่เขาชอบนั้นมีความเป็นช่างศิลป์ (Craftsmanship) อย่างหนึ่ง เป็นปัญญาชน นักคิดและนักเขียน

Marcom Muggeridge อดีตนักเขียนของ The Guardian เป็นคนหนึ่งที่พันศักดิ์ชื่นชอบ พันศักดิ์เป็นคนที่มองประเด็นอย่างเฉียบคม สามารถเข้าใจเรื่องราวที่ปรากฏด้วยมุมมองที่แปลก และน่าเชื่อถือเสมอ

เรื่องราวที่สะท้อนความคิดในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศปรากฏในข้อเขียน "เส้นขนานจตุรัส" ที่ได้รับการยอมรับใน วงการชั้นสูง ที่ว่าด้วยการเคลื่อน ไหวของสายลับมหาอำนาจในประเทศไทย ในเวลาเดียวกัน คอลัมน์ "เสียงเพลง" ต่อมาเป็น "ศักดิ์เสียง" ก็ได้รับการตอบสนองอย่างดีในฐานะที่ศึกษาและรู้ลึกในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทุกวันนี้เขาก็ยังเป็นคนที่ชอบเครื่องเสียงคุณภาพชั้นเลิศของโลก ที่เขาแสวง หามาได้อย่างน่าทึ่ง ที่ไม่มีใครมี พร้อมๆ กับการแสวงหาแผ่นเสียงหรือ CD แปลกๆ ฟังได้เสมอ

จากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องเครื่องเสียงเพลง จนถึงคอม พิวเตอร์ ในช่วงระหว่างปี 2528-2531 ด้านหนึ่งเขามีอาชีพเป็น Computer Consultant อีกบทบาทก็คือนักอภิปรายที่เฉียบคมในเรื่อง กฎหมายลิขสิทธิ์ ซึ่งทางการสหรัฐฯ กำลังบีบคั้นประเทศด้อยพัฒนาอย่างเต็มที่ ในช่วงนั้น "เรื่องลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์ เราดูกระบวนการ intellectual transfer ว่าสินทรัพย์ทางปัญญาของโลกมีกระบวนการของมัน เราในฐานะประเทศด้อยพัฒนา จึงต้องเรียกร้องว่าด้วย สิทธิและ duty ที่เหมาะสม เพราะขณะนี้มันมีการผลิตที่จะเลือกโซน A B C มันก้าวล่วงเลยไปถึงว่ามนุษย์เผ่าไหนมีสิทธิก่อนกัน ที่จะได้รับสินทรัพย์ทางปัญญา นี่คือปัญหา" เขากล่าวถึงแนวคิดไว้เมื่อไม่นานมานี้

แวดวงวิชาการในเรื่องยุทธศาสตร์ระดับโลกในครั้งนั้น ได้ก่อตัวเป็น "ทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก" ของรัฐบาลชาติชาย ในเวลาต่อมา อันประกอบด้วยไกรศักดิ์ ชุณ หะวัณ, สุรเกียรติ์ เสถียรไทย, บวรศักดิ์ อุวรรณโน เป็นต้น โดยมีพันศักดิ์เป็นประธาน

บทบาทบ้านพิษณุโลกมีมากมายภาย ใต้กรอบการเมืองเก่า อำนาจกองทัพในช่วงท้ายยังคงอยู่ ความไม่เข้าใจในความคิดใหม่ ในเชิงยุทธศาสตร์ได้สร้าง "แรงปะทะ" กับความคิดและผลประโยชน์ดั้งเดิมอย่างมาก

อินโดจีน "แปรสนามรบเป็นสนามการค้า"

แนวความคิดที่สำคัญของพันศักดิ์ในขณะนั้นคือ การเสนอยุทธศาสตร์ของประเทศไทยที่เกี่ยวกับภูมิภาคอินโดจีนโดยเปลี่ยน สนามรบให้เป็นสนามการค้า ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ ระดับภูมิภาคอินโดจีนเป็นอย่างราบรื่น นับเป็นส่วน เสริมให้เศรษฐกิจไทยมีตัวเลขอัตราเติบโตในลักษณะ double digit และมีการหลั่งไหลของเงินทุนจากต่าง ประเทศเข้าสู่ไทยมาก

ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้นำแนวความคิด ที่เคยเสนอมาแล้วประมาณ 15 ปี มาเป็นนโยบายของรัฐอย่างได้ผล

เขาเคยเผยถึงเบื้องหลังแนวคิดนี้ในที่ประชุมผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ในการปาฐกถาครั้งหนึ่งที่ชะอำ (ปี 2533) ในทำนองว่าเมื่อ คาดว่าอะไรจะเกิด แล้วเราเป็นคนพูดก่อนอย่างเป็น ระบบ นั่นก็คือนโยบายที่ดี

ฐานความคิดเหล่านี้ได้พัฒนากว้างขึ้นและลึกขึ้นในมิติที่น่าสนใจ ในเมื่อเขาได้เข้าเป็นประธาน ที่ปรึกษานโยบายเศรษฐกิจพรรคไทยรักไทย และทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

การรื้อ East Asia Economic Model

ด้านกว้างนั่นคือการเสนอความคิดที่ Morgan Stanley Dean Witter นายหน้าค้าหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรียกว่า "การรื้อ East Asia Economic Model" (อ่านในล้อมกรอบ)

ซึ่งพันศักดิ์บอกว่า งานเขียนชิ้นนั้นตีความคิดของเขาและแนวทางของรัฐบาลได้ดีพอ สมควร เขาเองอรรถาธิบายแนวคิดรวบยอดไว้ในภาษาของเขาเป็นการเพิ่มเติม (ทั้งนี้เพื่อให้มี อรรถรสและคงบุคลิกของเขาไว้ จึงตัดแต่งข้อความเล็กน้อย) เพื่อให้ภาพที่ชัดเจนมากขึ้นด้วย

"เราเคยเชื่อว่าประเทศจะเจริญได้ต้องมีอุตสาหกรรม IT เราลืมไปว่าการจะทำอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้ จะต้องมี capital base มหาศาล คือ surplus global money ที่ยินดีที่จะ flow มาสู่ IT อุตสาหกรรม ซึ่งไม่เกิน 8 เดือนต้อง inject global capital เข้าไปใหม่ ทีนี้ผลที่เห็นปัจจุบันมี 2 อย่าง

หนึ่ง-เรามี currencies crisis 1997 และ มี crisis of capital flow สอง-ต่อมาเราเผชิญ กระบวนการสร้างอุตสาหกรรม supplier of IT ให้กับโลก

ทั้งสอง Track เราไปไม่ได้ สมัยก่อนเรามีฐานะเป็นผู้ผลิตอุตสาหกรรมที่เน้น cheap, depend upon somebody else inflation, somebody else consumption และ หวังว่า จีน บังกลาเทศ อินเดีย เวียดนามไม่เจริญ นี่ยังดีนะที่พม่าตีกันเอง เพราะมี 153 เผ่า

เราบอกกับตัวเองว่า เราไปสองทางนี้ไม่ได้ เราต้องยอมรับว่า ทุก 2-3 ปี เศรษฐกิจจะ negative เราก็ต้อง reserve ไว้เยอะแล้วมาแจกประชาชน และหวังว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นขึ้น เราจะได้เกาะเกี่ยวกันต่อไปใน IT ซึ่งมันเหมาะกับ city state แต่ไม่เหมาะกับที่ห่างไกลกรุงเทพฯ 60 กม. ขายยาม้ายาบ้า มันเป็นไปไม่ได้สำหรับสังคมที่ primitive มาก

อย่างไรก็ตาม speech ของนายกฯ ทั้งที่ ESCAP และที่ฮ่องกง speech ที่ ESCAP เป็นการเขย่า cocktail ให้ดูตื่นเต้น แต่ที่ฮ่องกง speech บอกว่า Asia ทำทุกอย่างได้เองหมด normally enrich materialistic level หรือ semi-materialistic level ทำได้หมดเลย

ดังนั้นการ co-operation ของ Asia ทั้งหมดทำได้ จะเป็นการทำ Acquistion หรือ Merger หรือการค้าเสรีไม่สำคัญ ต้องซื้อของซึ่งกันและกันให้มากขึ้น เพราะฉะนั้นเอเชียจะต้อง มี task oriented technology ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพของเอเชียดีขึ้น"

หลังรัฐบาลชาติชายล้มลงด้วยการรัฐประหารของกลุ่มทหาร เขาต้องระเห็จไปอยู่อังกฤษพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาทำหนังสือพิมพ์ ASIA TIMES ที่มีสตาฟฟ์เป็นชาวต่างชาติหลาย สิบชาติที่มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ นับเป็นการเสริมประสบการณ์ในความเข้าใจเอเชียของเขามากขึ้น

SME Model ในแกนกลาง

SME Model ที่เขาเคยเสนอในการสัมมนาแห่งหนึ่งเมื่อปี 2540 เป็นทางออกวิกฤติสังคม ไทย ได้รับการตอบสนองอย่างกว้างขวาง มีการพูดกันมาก ในที่สุดก็ถูกบรรจุเป็นนโยบายพรรคการเมือง นโยบายสำคัญของรัฐบาล และมีมาตรการรูปธรรมสนับสนุนในโมเดลนี้ เกิดขึ้นมากมาย

SME Model คือการเปิดโอกาสใหม่ให้ กับรากหญ้าของสังคม

"กระบวนการทางความคิดเรื่องเศรษฐกิจของผมจึงต่อเนื่องจากกระบวนความคิด เรื่อง in just society มันพัฒนามา เรื่อย คนอื่นอาจจะคิดว่า การยื้อแย่งอำนาจ รัฐก็เพื่อแบ่งสินทรัพย์ของรัฐ แต่สำหรับผม คือการสร้างโอกาสให้ไพร่ มีโอกาสในชีวิตที่ค่อนข้างจะเท่าเทียมกัน เวลาเราพูดอย่างนี้ถูกมองว่าซ้าย ขณะที่ เลสลี่ เตอโรด์จากฮาร์วาร์ดพูดว่า no pyramid be built from the top พวกนั้นบอกว่าพูดถูก มันขลัง ขณะ ที่ผมพูดมา 30 กว่าปี ไม่ขลัง (หัวเราะ)"

SME ในกระบวนการ Globalization

"ในสถานะปัจจุบันของสินทรัพย์ที่เรามีอยู่ทั้งปัญญาและธรรมชาติ มีทางเดินที่เราต้องเดินทางนี้ กระบวนการต้องทำให้สินทรัพย์ทางปัญญาของโลกรวมทั้ง skill มาก่อประโยชน์ให้สิ่งที่มีอยู่ ทั้ง dimension ของ ปัญญาและสินทรัพย์ สิ่งนั้นคืออะไร? คือ skill ของยุโรป และของอเมริกาบางส่วน และของ จีน ของญี่ปุ่น เราก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับ skill เหล่านั้น ซึ่งไม่ใช่บริษัทใหญ่ๆ แต่กลุ่มครอบครัวบางแห่ง"

"เพราะในอดีต 30-40 ปีที่ผ่านมา เรานำโรงงานมาไทยโดย BOI แต่ลืมนึกไปว่า สิ่งที่จะต้องเข้ามาคือปัญญา เพราะปัญญามี ก็จะตามมาด้วย venture capital และโรงงานก็เกิดขึ้น ไม่ใช่โรงงาน ก่อน ซึ่งเป็นของคนอื่น ไม่มีกระบวนการคุม margin ของการตลาดเลย การที่เราจะเปิดให้สิทธิประโยชน์ของสังคม ก็ควรจะเป็นสังคมที่มีปัญญา ซึ่งจะทำภาษีรายได้แก่สังคมไทย ซึ่งสหรัฐฯ ทำมานานแล้ว ขณะนี้สิงคโปร์ระดมคนมีปัญญาเข้ามา เพื่อจ่ายภาษีให้และสร้างความมั่งคั่งให้มัน นี่คือ trend ใหม่ของโลก

นี่คือ globalization จริงๆ เราต้องทำในกรอบแห่งความสามารถของตัวเอง ที่ไม่ใช่ลอยๆ"

บางคนสรุปความคิดที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นระบบของพันศักดิ์ วิญญรัตน์ มาจากการตกผลึกที่สำคัญจากความต่อเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญของสังคมไทยที่ปะทุมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2514 และ 2519 แต่เป็นการตกผลึกที่พัฒนาไปใน Globalization

พันศักดิ์ วิญญรัตน์ สนุกกับความคิดของเขา ใครก็ตามตอบสนองความคิดของเขา เขาก็พร้อมทำงานให้อย่างเต็มที่

เขาสนุกกับการฟังเพลง เพลงโปรดในปัจจุบันเพลงหนึ่งคือ DESERT BLUES Ambiances du Sahara, the finest African ballads, from Ethiopia, Sudan, Algeria, Morroco, Mauritania, Senegal, The Gambia and Mali เขามีชีวิตอย่างธรรมดาอยู่กับครอบครัวที่มีบุตรชายคนเดียว ซึ่งเป็นหัวแก้วหัวแหวน ครอบครัว 3 ชีวิตของเขา อยู่ในซอยประสานมิตร ใกล้บ้านพ่อของเขาและใกล้โรงเรียนของลูกชาย

และที่สำคัญที่สุดที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงในความคิดของเขา เขาไม่มีความทะเยอทะยาน ทางการเมือง เพราะเข้าใจตนเองดีว่าเขาเหมาะที่จะเป็นนักคิดที่อยู่ข้างหลังมากกว่าการทำงานบริหาร ซึ่งว่าไปแล้วเขาไม่ถนัด ซึ่งหลายคนวิจารณ์ว่าปัญหาของเขาอย่างหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจหนังสือไม่ประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจ เพราะเขาไม่สนใจธุรกิจและการจัดการ โดยเฉพาะตำแหน่งการบริหารทางการเมืองด้วยแล้วไม่ต้องกับบุคลิกของเขา แต่อย่างไรก็ตาม การเมืองมักจะมายุ่งเกี่ยวกับเขาเสมอๆ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us