Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2544








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2544
หนทางยาวไกลสู่โรงเรียนยุคใหม่             
 





เผยเหตุจูงใจพ่อแม่เทใจเทกระเป๋า ส่งลูกหลานเรียนนอก

ชอย ไฮ ซุค (Choi Hye Sook) แยกกันอยู่กับสามี มาราวหนึ่งปีแล้ว เธอ และไฮ บิน (Hye Bin) ลูกสาววัย 17 จากบ้านที่กรุงโซลไปเช่าอพาร์ตเมนต์แบบ 1 ห้องนอน อยู่ที่ชานเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ไฮซุคเล่าว่า ลูกสาวเธอกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมริเวอร์ไซด์ และเตรียมจะสมัครเข้าเรียนต่อเป็นแพทย์ ในช่วงแรก ไฮบิน ต้องเรียนพิเศษหนักทีเดียวเพราะการเรียนการสอนเป็นภาษา อังกฤษนั้น เป็นเรื่องยาก แต่ไฮบินก็สอบได้คะแนนเฉลี่ย ระดับ B และสนุกสนานกับการเรียนวิทยาศาสตร์ในระบบ โรงเรียนที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และรู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเอง

อันที่จริง ชีวิตครอบครัวของชอยมิได้แตกร้าว สามีของเธอยังคงทำงานเป็นโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ ในกรุงโซลและเก็บหอมรอมริบส่งเสียค่าเทอมให้ลูกสาว ค่าเล่าเรียนของไฮบินนั้นสูงถึง 8,200 ดอลลาร์สหรัฐ บวกค่าใช้จ่ายในการครองชีพอีกราว 21,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี ทั้งนี้ยังไม่นับรวมค่าเล่าเรียนของบุตรสาวอีกคนหนึ่ง ที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งนอรเวย์ ทั้งหมดนี้เมื่อคำนวณ ดูแล้วคิดเป็น 70% ของรายได้ของผู้เป็นพ่อ ซึ่งแน่นอนว่า ครอบครัวนี้จะต้องแบกรับความตึงเครียดร่วมกันอยู่ไม่น้อยทีเดียว "ต้องโทษระบบการศึกษาที่เหลวไหลของเกาหลี" ชอยในวัย 49 ชี้แจง "ที่ครอบครัวเราต้องพลัดพรากกันอย่างนี้จะโทษใคร ไม่ได้เลยนอกจากรัฐบาล"

ชอยมิได้เป็นผู้เดียวที่ต้องมีชีวิตครอบครัวเช่นนี้ มีเด็กชาวเกาหลีอีกจำนวนมากที่พากันไปศึกษาเล่าเรียนยัง ต่างประเทศ เนื่องจากบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองทั้งหลายต่าง ไม่พอใจกับระบบการศึกษาแบบเดิมที่จัดห้องเรียนที่มีจำนวน นักเรียนต่อชั้นเรียนสูงมาก เน้นการเรียนการสอนแบบท่องจำ ยึดติดกับหลักสูตรซึ่งกำหนดขึ้นโดยข้าราชการอย่างตายตัว ที่จริงแล้ว เด็กชาวเกาหลีนั้นเก่งในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์อยู่ไม่น้อย แต่ระบบการศึกษาของเกาหลี ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่กระตุ้นให้นักเรียนมีความริเริ่ม สร้างสรรค์ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับระบบเศรษฐกิจแบบ เน้นการมีฐานความรู้ในปัจจุบัน

ปาค ซุง รก (Park Seung Rok) หัวหน้าศูนย์การศึกษา องค์กรธุรกิจ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านคลังสมองหรือ think tank และได้รับการสนับสนุนจากภาคธุรกิจ กล่าวว่า "หากเราไม่มีคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดริเริ่มแล้ว ต่อไปเกาหลี จะตกเป็นรองหรืออยู่แค่แนวชายขอบของการแข่งขันทางธุรกิจ" เขาให้เหตุผลสนับสนุนด้วยว่าจีนกำลังปรับปรุงตนเองให้มีศักยภาพทางด้านอุตสาหกรรม และกำลังจะขึ้นเทียบชั้นกับบริษัท เกาหลีในธุรกิจตั้งแต่ด้านเหล็กกล้าไปจนถึงการต่อเรือและสินค้า อิเล็กทรอนิกส์ หากเกาหลีไม่พัฒนาคนให้มีขีดความสามารถ สูงขึ้นก็ย่อมเพลี่ยงพล้ำต่อจีนในที่สุด

สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้สถาบันการศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะแบบอังกฤษหรืออเมริกัน เข้ามามีบทบาทต่อเกาหลีมากขึ้นทุกขณะ เนื่องจาก หนึ่ง ระบบการเรียนการสอนเหล่านี้มักเน้นที่ความเป็นตัวของตัวเอง และมีการจัดการศึกษาเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นทักษะที่มีแนวโน้มสำคัญยิ่งขึ้นในเกาหลี สอง การเรียนการสอนใน โรงเรียนมัธยมของออสเตรเลีย แคนาดา สหรัฐฯ และนิวซีแลนด์ ไม่หนักแบบของเกาหลี ซึ่งเด็กๆ ต้องใช้เวลากับการเรียน แบบอัดแน่นใส่สมองถึงวันละ 18 ชั่วโมง ทั้งที่อยู่ในโรงเรียนและการเรียนพิเศษ สาม การเรียนโรงเรียนระดับมัธยมในต่าง ประเทศเป็นการเปิดโอกาสให้สามารถ ศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องผจญกับแรงกดดัน ในการสอบเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย ในประเทศ

"ระบบการศึกษาของเกาหลีมีสิ่งน่าชื่นชมอยู่มากก็จริง" คิม ฮุง จู (Kim Heung Ju) ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการ ศึกษาแห่งเกาหลี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุน จากรัฐบาล กล่าวและว่า "ปัญหาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพียงแค่หยิบ มือเดียว ที่ทำให้มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด"

ที่จริง รัฐบาลเกาหลีใต้เพิ่งยอมเปิดโอกาสให้ผู้ที่อายุ ต่ำกว่า 17 ปี เดินทางออกไปศึกษาต่อยังต่างประเทศเมื่อไม่นาน มานี้ โดยในปี 1998 กลุ่มผู้ปกครองเพิ่งชนะการฟ้องร้องต่อรัฐบาลในประเด็นนี้ และเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง ที่รัฐบาลเพิ่งยอมให้นักเรียนระดับไฮสกูลอายุเกิน 15 ปี เดินทางไปเรียนต่อที่เมืองนอกได้ ผลก็คือ มีเด็กหนุ่มสาว นับหมื่นพากันเดินทางออกไปเรียนระดับมัธยมนอกประเทศ รวมทั้งนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยด้วย และแม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่อนุญาตให้นักเรียนที่ไม่ใช่ชาวอเมริกันเข้าศึกษาใน โรงเรียนระดับมัธยม แต่ชาวเกาหลีจำนวนไม่น้อยก็หาช่องทาง ซิกแซ็กส่งบุตรหลานของตนเข้าเรียนจนได้ หรือมิฉะนั้นก็เลือก ส่งไปเรียนที่แคนาดา ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ แทน ทั้งนี้ ค่าเล่าเรียนอาจสูงถึงราว 3,500-8,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

บรรดาพ่อแม่ที่ทำงานกันอย่างหนักเพื่อส่งบุตรหลาน ของตนเล่าเรียนเมืองนอกนั้นก็เผชิญกับปัญหาไม่น้อยทั้งทาง ด้านสังคมวิทยาและด้านเศรษฐกิจ กลุ่มพ่อแม่เหล่านี้จึงมี การรวมตัวกันเป็นสมาคมเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารเกี่ยวกับการศึกษาในต่างแดนของลูกหลานของตน ขณะเดียวกัน บริษัท ที่ปรึกษาทางด้านการศึกษาก็ผุดขึ้น เป็นว่าเล่นในเกาหลี โดยมุ่งให้คำแนะนำ เกี่ยวกับกระบวนการด้านการตรวจคน เข้าเมืองหรือจัดทำวีซ่าการศึกษา รัฐบาลเกาหลีใต้เองก็เล็งเห็นว่า จะต้องดำเนินการบางอย่างกับแนวโน้ม ที่เกิดขึ้นนี้เช่นกัน ปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศแผนการ ปฏิรูปการศึกษา โดยจะเลิกระบบการเรียนแบบท่องจำและกระตุ้นให้เกิดการคิดริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง มากขึ้น มีการตั้งงบประมาณเพื่อการนี้ถึง 12,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี 2001-2004 โดยจะจ้างครูจำนวนถึง 23,600 คน เป้าหมายของแผนการนี้คือการลดจำนวนนักเรียนต่อชั้นเรียน จากราว 43 คน ลงมาอยู่ที่ราว 35 คนหรือต่ำกว่านั้น และ จะจัดให้มีการฝึกอบรมครูให้สอนแบบเน้นการเปิดโอกาสให้ มีการอภิปรายและเปลี่ยนความคิดอย่างสร้างสรรค์ นอกจาก นั้น ในปีหน้านี้ รัฐบาลจะเปิดโอกาสให้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้มีส่วนในการจัดทำหลักสูตรการเรียน การสอนและกระบวนการรับสมัครนักเรียนนักศึกษาด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม หลายคนยังตั้งข้อสงสัยกับนโยบาย ดังกล่าว เพราะในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับระบบการศึกษาในหลายๆ ด้านมาแล้ว แต่มักเป็นไปในทางที่ต้องการเรียกคะแนนเสียงจากประชาชน มากกว่าที่จะแก้ไขปัญหาการศึกษาได้จริงจัง เป็นต้นว่า รัฐบาลเลิกระบบการสอบเอ็นทรานซ์หลังจากที่มีเสียงร้องเรียนกันมากว่า ระบบการสอบเอ็นทรานซ์ให้โอกาส แต่ลูกหลานของ ผู้มีรายได้สูงได้เข้าเรียน เนื่องจากสามารถจ่ายค่าเรียนพิเศษได้ นอกจากนั้น รัฐบาลยังหันไปใช้ระบบการสอบแบบเน้นข้อสอบเลือก หรือ multiple-choice เพื่อให้การสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีความเป็นธรรมมากขึ้น ผลกลับปรากฏว่านักเรียนที่มุ่งทำข้อสอบแบบเลือกเหล่านี้ กลับมีคุณภาพทางวิชาการด้อยลง เมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เป็นต้น แต่ที่น่าหนักใจกว่านั้น ก็คือ ตำแหน่งรัฐมนตรี กระทรวงการศึกษาของเกาหลีใต้นั้น ดูจะเป็นตำแหน่งที่อิงกับการเมืองอยู่มาก เพราะนับตั้งแต่ประธานาธิบดีคิม แด จุง (Kim Dea Jung) เข้ารับตำแหน่ง ผู้นำประเทศ มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกระทรวงนี้ไปแล้ว ถึง 6 คนด้วยกัน

ดูเหมือนว่า ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้กำลัง ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างเอาจริงเอาจังมากกว่านี้ ทางเลือกหนึ่งที่มีการเสนอกันก็คือ การยอมให้ต่างชาติ เข้ามาจัดตั้งสถาบันการศึกษาในประเทศ เพื่อเปิดโอกาส ให้มีการแข่งขันกัน ซึ่งในโครงการนำร่องของแผนการปฏิรูป การศึกษาของรัฐบาลก็ระบุว่า จะอนุญาตให้มีการจัดตั้งสาขา ของสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของต่างชาติใน เกาหลีใต้ได้ตั้งแต่ช่วงปลายปีหน้าเป็นต้นไป ส่วนในระดับ โรงเรียนนั้นยังอยู่ในขั้นการพิจารณาต่อไป

นอกจากนั้น ยังมีผู้กล่าวถึงช่องทางการศึกษาใหม่ๆ ในยุคเทคโนโลยีข้อมูลด้วยว่า ในสภาพที่ครัวเรือนของ เกาหลีใต้กว่า 40% มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตแบบ broadband แล้ว ต่อไปในอนาคต เด็กๆ ชาวเกาหลีใต้ อาจนั่งเรียนหนังสืออยู่กับบ้านก็เป็นได้ เพราะในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมานั้น มีเว็บไซต์ด้านการศึกษากว่า 500 เว็บไซต์ที่เปิดตัวเป็นทางเลือก ให้กับนักเรียนนักศึกษาที่สนใจ

อย่างไรก็ตาม คงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่การปฏิรูป การศึกษาจะผลิดอกออกผล ในระหว่างนี้ คงมีพ่อแม่แบบชอย อีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องอดทนมีชีวิตครอบครัว ที่ไม่แตกร้าว แต่ต้องพลัดพรากกันไป ทว่า วันหนึ่งข้างหน้า ลูกหลานชาวเกาหลีเหล่านี้ก็จะเดินทางกลับบ้านเกิดพร้อมกับ ความรู้ ความสามารถที่จะนำพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น

เรียบเรียงโดย เนาวนิจ สิริผาติวิรัตน์ BusinessWeek August 27, 2001

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us