เผยเหตุจูงใจพ่อแม่เทใจเทกระเป๋า
ส่งลูกหลานเรียนนอก
ชอย ไฮ ซุค (Choi Hye Sook) แยกกันอยู่กับสามี
มาราวหนึ่งปีแล้ว เธอ และไฮ บิน (Hye Bin) ลูกสาววัย 17 จากบ้านที่กรุงโซลไปเช่าอพาร์ตเมนต์แบบ
1 ห้องนอน อยู่ที่ชานเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ไฮซุคเล่าว่า ลูกสาวเธอกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมริเวอร์ไซด์
และเตรียมจะสมัครเข้าเรียนต่อเป็นแพทย์ ในช่วงแรก ไฮบิน
ต้องเรียนพิเศษหนักทีเดียวเพราะการเรียนการสอนเป็นภาษา อังกฤษนั้น เป็นเรื่องยาก
แต่ไฮบินก็สอบได้คะแนนเฉลี่ย
ระดับ B และสนุกสนานกับการเรียนวิทยาศาสตร์ในระบบ โรงเรียนที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
และรู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเอง
อันที่จริง ชีวิตครอบครัวของชอยมิได้แตกร้าว สามีของเธอยังคงทำงานเป็นโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์
ในกรุงโซลและเก็บหอมรอมริบส่งเสียค่าเทอมให้ลูกสาว ค่าเล่าเรียนของไฮบินนั้นสูงถึง
8,200 ดอลลาร์สหรัฐ บวกค่าใช้จ่ายในการครองชีพอีกราว 21,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ต่อปี ทั้งนี้ยังไม่นับรวมค่าเล่าเรียนของบุตรสาวอีกคนหนึ่ง ที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งนอรเวย์
ทั้งหมดนี้เมื่อคำนวณ ดูแล้วคิดเป็น 70% ของรายได้ของผู้เป็นพ่อ ซึ่งแน่นอนว่า
ครอบครัวนี้จะต้องแบกรับความตึงเครียดร่วมกันอยู่ไม่น้อยทีเดียว "ต้องโทษระบบการศึกษาที่เหลวไหลของเกาหลี"
ชอยในวัย 49 ชี้แจง "ที่ครอบครัวเราต้องพลัดพรากกันอย่างนี้จะโทษใคร
ไม่ได้เลยนอกจากรัฐบาล"
ชอยมิได้เป็นผู้เดียวที่ต้องมีชีวิตครอบครัวเช่นนี้ มีเด็กชาวเกาหลีอีกจำนวนมากที่พากันไปศึกษาเล่าเรียนยัง
ต่างประเทศ เนื่องจากบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองทั้งหลายต่าง ไม่พอใจกับระบบการศึกษาแบบเดิมที่จัดห้องเรียนที่มีจำนวน
นักเรียนต่อชั้นเรียนสูงมาก เน้นการเรียนการสอนแบบท่องจำ ยึดติดกับหลักสูตรซึ่งกำหนดขึ้นโดยข้าราชการอย่างตายตัว
ที่จริงแล้ว เด็กชาวเกาหลีนั้นเก่งในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์อยู่ไม่น้อย
แต่ระบบการศึกษาของเกาหลี ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่กระตุ้นให้นักเรียนมีความริเริ่ม
สร้างสรรค์ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับระบบเศรษฐกิจแบบ
เน้นการมีฐานความรู้ในปัจจุบัน
ปาค ซุง รก (Park Seung Rok) หัวหน้าศูนย์การศึกษา องค์กรธุรกิจ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางด้านคลังสมองหรือ
think tank และได้รับการสนับสนุนจากภาคธุรกิจ กล่าวว่า
"หากเราไม่มีคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดริเริ่มแล้ว ต่อไปเกาหลี
จะตกเป็นรองหรืออยู่แค่แนวชายขอบของการแข่งขันทางธุรกิจ" เขาให้เหตุผลสนับสนุนด้วยว่าจีนกำลังปรับปรุงตนเองให้มีศักยภาพทางด้านอุตสาหกรรม
และกำลังจะขึ้นเทียบชั้นกับบริษัท เกาหลีในธุรกิจตั้งแต่ด้านเหล็กกล้าไปจนถึงการต่อเรือและสินค้า
อิเล็กทรอนิกส์ หากเกาหลีไม่พัฒนาคนให้มีขีดความสามารถ สูงขึ้นก็ย่อมเพลี่ยงพล้ำต่อจีนในที่สุด
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้สถาบันการศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะแบบอังกฤษหรืออเมริกัน
เข้ามามีบทบาทต่อเกาหลีมากขึ้นทุกขณะ เนื่องจาก หนึ่ง ระบบการเรียนการสอนเหล่านี้มักเน้นที่ความเป็นตัวของตัวเอง
และมีการจัดการศึกษาเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นทักษะที่มีแนวโน้มสำคัญยิ่งขึ้นในเกาหลี
สอง การเรียนการสอนใน โรงเรียนมัธยมของออสเตรเลีย แคนาดา สหรัฐฯ และนิวซีแลนด์
ไม่หนักแบบของเกาหลี ซึ่งเด็กๆ ต้องใช้เวลากับการเรียน แบบอัดแน่นใส่สมองถึงวันละ
18 ชั่วโมง
ทั้งที่อยู่ในโรงเรียนและการเรียนพิเศษ
สาม การเรียนโรงเรียนระดับมัธยมในต่าง
ประเทศเป็นการเปิดโอกาสให้สามารถ
ศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ
ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องผจญกับแรงกดดัน
ในการสอบเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย
ในประเทศ
"ระบบการศึกษาของเกาหลีมีสิ่งน่าชื่นชมอยู่มากก็จริง" คิม ฮุง
จู (Kim Heung Ju) ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการ ศึกษาแห่งเกาหลี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุน
จากรัฐบาล กล่าวและว่า "ปัญหาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพียงแค่หยิบ มือเดียว
ที่ทำให้มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด"
ที่จริง รัฐบาลเกาหลีใต้เพิ่งยอมเปิดโอกาสให้ผู้ที่อายุ
ต่ำกว่า 17 ปี เดินทางออกไปศึกษาต่อยังต่างประเทศเมื่อไม่นาน มานี้ โดยในปี
1998 กลุ่มผู้ปกครองเพิ่งชนะการฟ้องร้องต่อรัฐบาลในประเด็นนี้ และเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง
ที่รัฐบาลเพิ่งยอมให้นักเรียนระดับไฮสกูลอายุเกิน 15 ปี เดินทางไปเรียนต่อที่เมืองนอกได้
ผลก็คือ มีเด็กหนุ่มสาว
นับหมื่นพากันเดินทางออกไปเรียนระดับมัธยมนอกประเทศ รวมทั้งนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยด้วย
และแม้ว่าสหรัฐฯ
จะไม่อนุญาตให้นักเรียนที่ไม่ใช่ชาวอเมริกันเข้าศึกษาใน
โรงเรียนระดับมัธยม แต่ชาวเกาหลีจำนวนไม่น้อยก็หาช่องทาง
ซิกแซ็กส่งบุตรหลานของตนเข้าเรียนจนได้ หรือมิฉะนั้นก็เลือก ส่งไปเรียนที่แคนาดา
ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ แทน ทั้งนี้ ค่าเล่าเรียนอาจสูงถึงราว 3,500-8,200
ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
บรรดาพ่อแม่ที่ทำงานกันอย่างหนักเพื่อส่งบุตรหลาน ของตนเล่าเรียนเมืองนอกนั้นก็เผชิญกับปัญหาไม่น้อยทั้งทาง
ด้านสังคมวิทยาและด้านเศรษฐกิจ กลุ่มพ่อแม่เหล่านี้จึงมี
การรวมตัวกันเป็นสมาคมเพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารเกี่ยวกับการศึกษาในต่างแดนของลูกหลานของตน
ขณะเดียวกัน บริษัท
ที่ปรึกษาทางด้านการศึกษาก็ผุดขึ้น
เป็นว่าเล่นในเกาหลี โดยมุ่งให้คำแนะนำ
เกี่ยวกับกระบวนการด้านการตรวจคน
เข้าเมืองหรือจัดทำวีซ่าการศึกษา
รัฐบาลเกาหลีใต้เองก็เล็งเห็นว่า
จะต้องดำเนินการบางอย่างกับแนวโน้ม
ที่เกิดขึ้นนี้เช่นกัน ปลายเดือนกรกฎาคม
ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศแผนการ
ปฏิรูปการศึกษา โดยจะเลิกระบบการเรียนแบบท่องจำและกระตุ้นให้เกิดการคิดริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง
มากขึ้น มีการตั้งงบประมาณเพื่อการนี้ถึง 12,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี
2001-2004 โดยจะจ้างครูจำนวนถึง 23,600 คน เป้าหมายของแผนการนี้คือการลดจำนวนนักเรียนต่อชั้นเรียน
จากราว 43 คน ลงมาอยู่ที่ราว 35 คนหรือต่ำกว่านั้น และ
จะจัดให้มีการฝึกอบรมครูให้สอนแบบเน้นการเปิดโอกาสให้
มีการอภิปรายและเปลี่ยนความคิดอย่างสร้างสรรค์ นอกจาก
นั้น ในปีหน้านี้ รัฐบาลจะเปิดโอกาสให้โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้มีส่วนในการจัดทำหลักสูตรการเรียน
การสอนและกระบวนการรับสมัครนักเรียนนักศึกษาด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม หลายคนยังตั้งข้อสงสัยกับนโยบาย
ดังกล่าว เพราะในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีใต้ได้
เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับระบบการศึกษาในหลายๆ ด้านมาแล้ว
แต่มักเป็นไปในทางที่ต้องการเรียกคะแนนเสียงจากประชาชน
มากกว่าที่จะแก้ไขปัญหาการศึกษาได้จริงจัง เป็นต้นว่า
รัฐบาลเลิกระบบการสอบเอ็นทรานซ์หลังจากที่มีเสียงร้องเรียนกันมากว่า ระบบการสอบเอ็นทรานซ์ให้โอกาส
แต่ลูกหลานของ
ผู้มีรายได้สูงได้เข้าเรียน เนื่องจากสามารถจ่ายค่าเรียนพิเศษได้ นอกจากนั้น
รัฐบาลยังหันไปใช้ระบบการสอบแบบเน้นข้อสอบเลือก หรือ multiple-choice เพื่อให้การสอบเข้ามหาวิทยาลัย
มีความเป็นธรรมมากขึ้น ผลกลับปรากฏว่านักเรียนที่มุ่งทำข้อสอบแบบเลือกเหล่านี้
กลับมีคุณภาพทางวิชาการด้อยลง
เมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เป็นต้น แต่ที่น่าหนักใจกว่านั้น
ก็คือ ตำแหน่งรัฐมนตรี กระทรวงการศึกษาของเกาหลีใต้นั้น
ดูจะเป็นตำแหน่งที่อิงกับการเมืองอยู่มาก เพราะนับตั้งแต่ประธานาธิบดีคิม
แด จุง (Kim Dea Jung) เข้ารับตำแหน่ง
ผู้นำประเทศ มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกระทรวงนี้ไปแล้ว
ถึง 6 คนด้วยกัน
ดูเหมือนว่า ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้กำลัง ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างเอาจริงเอาจังมากกว่านี้
ทางเลือกหนึ่งที่มีการเสนอกันก็คือ การยอมให้ต่างชาติ
เข้ามาจัดตั้งสถาบันการศึกษาในประเทศ เพื่อเปิดโอกาส
ให้มีการแข่งขันกัน ซึ่งในโครงการนำร่องของแผนการปฏิรูป
การศึกษาของรัฐบาลก็ระบุว่า จะอนุญาตให้มีการจัดตั้งสาขา ของสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของต่างชาติใน
เกาหลีใต้ได้ตั้งแต่ช่วงปลายปีหน้าเป็นต้นไป ส่วนในระดับ โรงเรียนนั้นยังอยู่ในขั้นการพิจารณาต่อไป
นอกจากนั้น ยังมีผู้กล่าวถึงช่องทางการศึกษาใหม่ๆ ในยุคเทคโนโลยีข้อมูลด้วยว่า
ในสภาพที่ครัวเรือนของ
เกาหลีใต้กว่า 40% มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตแบบ broadband แล้ว ต่อไปในอนาคต
เด็กๆ ชาวเกาหลีใต้
อาจนั่งเรียนหนังสืออยู่กับบ้านก็เป็นได้ เพราะในช่วง 2 ปี
ที่ผ่านมานั้น มีเว็บไซต์ด้านการศึกษากว่า 500 เว็บไซต์ที่เปิดตัวเป็นทางเลือก
ให้กับนักเรียนนักศึกษาที่สนใจ
อย่างไรก็ตาม คงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่การปฏิรูป
การศึกษาจะผลิดอกออกผล ในระหว่างนี้ คงมีพ่อแม่แบบชอย
อีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องอดทนมีชีวิตครอบครัว ที่ไม่แตกร้าว
แต่ต้องพลัดพรากกันไป ทว่า วันหนึ่งข้างหน้า ลูกหลานชาวเกาหลีเหล่านี้ก็จะเดินทางกลับบ้านเกิดพร้อมกับ
ความรู้
ความสามารถที่จะนำพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น
เรียบเรียงโดย เนาวนิจ สิริผาติวิรัตน์
BusinessWeek August 27, 2001