Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2544








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2544
สแตน โอนีล แห่งเมอร์ริลลินช์ แมวขาวแมวดำไม่สำคัย...ขอให้จับหนูเก่ง!             
โดย รุ่งมณี เมฆโสภณ
 


   
search resources

สแตน โอนีล




ถ้าใครอยู่ในแวดวงตลาดทุนคง ทราบข่าวนี้กันไปแล้ว

ข่าวที่ว่าก็คือ เมื่อปลายเดือน กรกฎาคมที่ผ่านมา เมอร์ริลลินช์ (Merrill Lynch) บริษัทหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของ สหรัฐฯ ได้ประกาศแต่งตั้งให้ อี. สแตนลีย์ โอนีล (E. Stanley O'Neal) หรือที่ในวงการ เรียกกันสั้นๆ ว่า สแตน โอนีล (Stan O'Neal) วัย 49 ปี ดำรงตำแหน่งประธาน (president) และผู้บริหารสูงสุดฝ่าย ปฏิบัติการ (chief operating officer) ขณะเดียวกัน ก็มีการยืนยันว่า โอนีลผู้นี้คือ "ทายาท" ของเดวิด เอช. โคมันสกี (David H. Komansky) ประธาน กรรมการบริษัท (chairman) และประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร (chief executive) คน ปัจจุบัน วัย 62 ปี ซึ่งประกาศไว้ว่า เขา จะเกษียณเมื่ออายุครบ 65 ปี

นั่นหมายถึงอีก 3 ปี ถ้าไม่มีอะไร พลิกผัน โอนีลจะเป็น "เบอร์หนึ่ง" ของ เมอร์ริลลินช์

การก้าวขึ้นมาของโอนีลนี้ แม้จะ ไม่ผิดไปจากความคาดหมาย แต่ที่ฮือฮา กันมากเห็นจะเป็นเพราะเขาเป็นอเมริกันผิวดำ

ถ้าโอนีลเป็นอเมริกันขาว การขึ้น สู่ตำแหน่งใหญ่โตในเมอร์ริลลินช์ของเขา ก็อาจจะไม่ได้รับความสนใจมากเท่าน เส้นทางชีวิตของโอนีลนับว่า น่าศึกษายิ่ง...

คงจะมีเพียงผู้บริหารระดับสูง บริษัทหลักทรัพย์อเมริกันคนเดียวเท่านั้น กระมัง ที่มีภูมิหลังเช่นนี้

โอนีลเติบโตมากลางไร่ในชนบทห่างไกลใน Wedowee รัฐแอละแบมา (Alabama) เขาต้อง ใช้แรงงานอย่างหนักในไร่ของปู่ เก็บข้าวโพดบ้าง ฝ้ายบ้าง ใครเลยจะนึกว่า เด็กน้อยชาวไร่จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมอร์ริลลินช์ บริษัทหลักทรัพย์เก่าแก่ที่มีอายุ 150 ปี

แม้พ่อเคยบอกกับโอนีลว่า เขาไม่เหมาะกับงานไร่...

แต่เมื่อคุณยากจนและเป็นคนดำ ไม่มี ทางให้เลือกมากนัก!

พ่อของโอนีลทำไร่ ขณะที่แม่รับทำ ความสะอาดบ้าน ตัวของโอนีลเอง ถ้าไม่ไปช่วยเก็บเกี่ยวผลผลิตในไร่ร่วมกับน้องๆ ที่ คลานตามกันมาอีก 3 คน เขาก็จะไปขายและส่งหนังสือพิมพ์ ต่อมา พ่อของโอนีลก็ได้ข้อสรุปว่า ตัวเองก็ไม่เหมาะกับงานไร่

ตอนนั้น โอนีลอายุได้ 12 ปี พ่อของ เขาอพยพครอบครัวจากไร่ที่แอละแบมา ย้าย ไปอยู่แอตแลนตา (Atlanta) และในที่สุด พ่อ ก็ได้งานทำที่โรงงานของเจเนรัล มอเตอร์ส (General Motors) ที่ Doraville โดยเป็นคนดำคนแรกๆ ที่ได้ทำงานที่นั่น

ส่วนโอนีลเมื่อเรียนจบมัธยม ศึกษาตอนปลายแล้ว เขาก็ได้เข้าทำงาน ที่โรงงานเดียวกับพ่อ พร้อมกันนั้นก็เข้า เรียนใน General Motors Institute หรือ GMI ซึ่งปัจจุบันใช้ชื่อว่า Kettering University โครงการนี้เป็นโครงการที่ให้ พนักงานเรียนทางด้านวิศวกรรมและการ บริหารงานอุตสาหกรรมสลับไปกับ ทำงานในโรงงานที่ Doraville ไปด้วย

โทนี เฮน (Tony Hain) คณบดี หลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอก ของ Kettering ซึ่งเคยสอนโอนีลในแผนก Industrial Administration กล่าวถึงลูกศิษย์ คนนี้ว่า โอนีลฉลาดและมีความสามารถ เขาประทับใจในตัวโอนีลมาก แม้ว่าเวลา จะล่วงเลยไปกว่า 20 ปีแล้วก็ตาม

โอนีลจบการศึกษาในปี 2517 และเป็นคนแรกของครอบครัวที่จบระดับ มหาวิทยาลัย ในวัยนั้น เขาเต็มไปด้วยปรารถนา อย่างแรงกล้าที่จะเรียนรู้

หลังเรียนจบ โอนีลก็กลับเข้า โรงงานที่ Doraville

จากนั้นไม่นาน เขาก็ได้เข้าเรียน ต่อที่ Harvard Business School (HBS) โดย ทุนของเจเนอรัลมอเตอร์ส

โอนีลเล่าถึงชีวิตเมื่อแรกเหยียบ ย่างไปบอสตัน (Boston) ว่า...

เขาไม่เคยมีกลุ่มเพื่อนที่ "โก้" แบบที่ฮาร์วาร์ดมาก่อน และเขาก็เป็น เพียงหนึ่งในนักศึกษาแอฟริกันอเมริกัน จำนวนไม่กี่คนในชั้นเรียน

"มีคนไม่มากนักที่เหมือนผม" โอนีลบอก

เมื่อจบได้เกียรตินิยม M.B.A. จากฮาร์วาร์ดในปี 2521 โอนีลก็ไป ทำงานทางด้านการเงินให้กับเจเนอรัล มอเตอร์สที่นครนิวยอร์ก

หลังจากนั้น โอนีลก็ย้ายไปอยู่ กับเมอร์ริลลินช์ในปี 2529

ตลอดเวลา 15 ปีที่เมอร์ริลลินช์...

โอนีลพิสูจน์ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า

โอนีลเริ่มงานที่เมอร์ริลลินช์ทาง ด้านธุรกิจเกี่ยวกับพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่มี ความเสี่ยงสูง (junk bond business) โอนีลอยู่กับธุรกิจ junk bond 5 ปี หลังจากนั้น เขาก็ได้ย้ายไปดูแลงานใน ส่วนของลูกค้าประเภทบริษัทและผู้ลงทุน ที่เป็นสถาบันหรือองค์กร (corporate clients and institutional investors) พอถึง ปี 2541 โคมันสกีได้เสนอให้โอนีลไปเป็น ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการเงิน (chief finan-cial officer) แม้ตำแหน่งนี้สำหรับวอล-สตรีต แล้วถือกันว่าเป็นตำแหน่งที่เหมือนกับปิดทองหลังพระ โอนีลอยู่ในตำแหน่งนี้นาน 2 ปี

กุมภาพันธ์ 2543 โคมันสกีได้แต่ง ตั้งให้โอนีลดูแลธุรกิจค้าหลักทรัพย์ (brokerage business) ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยเป็นโบรกเกอร์มาก่อน สำหรับโอนีลแล้ว งานนี้นับเป็นงานที่ดีที่สุดที่เขาเคยได้รับมา เขาต้องดูแล โบรกเกอร์ถึง 16,000 คน ด้วยระยะเวลาไม่นานนัก โอนีลได้เปลี่ยนแปลงฐานะโบรกเกอร์ของเมอร์ริลลินช์ให้กลายเป็น "wealth managers" ดูแลการลงทุนที่มีมูลค่า มากกว่า 1 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือถ้าจะให้ ดีที่สุดก็จะต้องมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนั้น เขายังได้ให้รวมศูนย์การดูแลลูกค้าไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องการตัดสินใจของ โบรกเกอร์เพียงคนใดคนหนึ่ง

แม้ว่ามีเสียงคาดหมายมาโดยตลอด ถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ของเขาที่เมอร์ริลลินช์ แต่โอนีลกลับไม่สนใจว่า เขาจะได้เป็นหนึ่งใน แอฟริกันอเมริกันเพียงไม่กี่คน ที่ได้ขึ้นเป็น ผู้บริหารระดับสูงของวอลสตรีต เขากลับพอใจที่จะทุ่มเทให้กับงานในความรับผิดชอบ ปัจจุบัน มากกว่า...

สำหรับเวลาที่ว่างจากงาน โอนีล บอกว่าเขามักจะหาเวลาไปออกรอบเล่น กอล์ฟ แต่ก็ถ่อมตัวว่าเล่นได้ไม่ค่อยดีนัก นอกจากนั้น เขายังเป็นสมาชิกของ Harvard Visiting Committee และนั่งอยู่ในบอร์ดของ Ronald McDonald House, National Urban League และ Nasdaq รวมทั้งเมื่อไม่นานมานี้ เขาได้เป็นที่ปรึกษาของ American Cancer Society

แม้วันนี้เขาจะมาไกลในหน้าที่การ งาน แต่โอนีลยังคงใกล้ชิดกับญาติพี่น้อง ประมาณปีละ 2 ครั้ง ที่เขาและภรรยา-แนนซี การ์วีย์ (Nancy Garvey) จะพาลูกชายหญิงฝาแฝดไปที่ Roanoke รัฐแอละแบมา ซึ่งเป็น เมืองเกิดของเขา

******

ช่วงที่ผ่านมา สถานการณ์ของเมอร์ริลลินช์ไม่ดีนัก กำไรสุทธิช่วงครึ่งปีแรกลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ราคาหุ้นก็ลดลง อย่างไรก็ตาม ไตรมาสที่ผ่านมา โอนีลซึ่งดูแลในเรื่องธุรกิจค้าหลักทรัพย์อยู่ก็สามารถที่จะทำกำไรได้จนทำให้เขากลายเป็น "ขวัญใจ" ของคณะกรรมการบริษัท

โคมันสกีกล่าวว่า คณะกรรมการ บริษัทมีมติเป็นเอกฉันท์ เลือกโอนีลให้ เป็นผู้นำคนต่อไปของเมอร์ริลลินช์!

ในทัศนะของโคมันสกีแล้ว โอนีล ถึงพร้อมในการขึ้นเป็นผู้นำของเมอร์ริล ลินช์ ทั้งในแง่ความเป็นผู้นำและความสามารถในเชิงยุทธศาสตร์ แม้โอนีลจะบอกว่าเขาและโคมันสกีจะมีวิธีการทำงาน ที่แตกต่างกัน แต่โดยเนื้อหาสาระแล้ว ทั้งคู่ไม่มีสิ่งใดที่เห็นแตกต่างกัน...

โอนีลนับเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ บริหารระดับอาวุโสไม่กี่คนของวอลสตรีต ที่เป็นคนอเมริกันผิวดำ

ในส่วนตัวของโอนีล...เขาไม่ต้อง การให้เรื่องผิวกลายเป็นประเด็น อย่างไร ก็ตาม เขาบอกกับนิวยอร์กไทมส์ว่า การ ที่เขาเลือกมาอยู่กับเมอร์ริลลินช์ก็เพราะ คิดว่า เมอร์ริลลินช์ยอมรับบุคคลที่มีภูมิหลังแตกต่างกันมากกว่าองค์กรอื่นๆ

กรณีของสแตน โอนีล นี้ดูเหมือน ผู้บริหารของเมอร์ริลลินช์คิดไม่ต่างไปจาก เติ้งเสี่ยวผิงที่ว่า...

"แมวขาวแมวดำไม่สำคัญ ขอให้เป็นแมวที่จับหนูเก่ง!"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us