Interbrew ยักษ์ใหญ่ด้านตลาดเบียร์เบอร์ 2 ของโลก ซื้อ Beck สัญชาติเยอรมัน
1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อขยายฐานลูกค้าในภูมิภาค
การรุกอย่างรวดเร็วเข้าสู่เยอรมนีของ Interbrew สัญชาติเบลเยียม เกิดขึ้น
ในระยะใกล้เคียงกัน โดยในปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเข้าถือหุ้น 80% ใน Diebels
บริษัทเบียร์อันดับ 10 ของเยอรมนี แต่ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขการลงทุนครั้งนั้น
ในเดือนถัดมา Interbrew ได้ตัดสิน ใจใช้เงินสด 3.5 พันล้านดอยช์มาร์ก หรือ
1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในการซื้อ Beck ยักษ์ใหญ่อันดับ 4 ในธุรกิจเบียร์เยอรมัน
นอกจากนี้ Interbrew ยังต้องรับภาระหนี้ของ Beck จำนวน 60 ล้านยูโรอีกด้วย
สาเหตุการเข้าซื้อธุรกิจเบียร์ทั้งสองแห่งของ Interbrew เพื่อต้องการเลื่อน
สถานะตนเองให้เป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาด เบียร์ขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป "Beck
เป็นองค์กรเหมาะสมภายใต้กลยุทธ์การควบรวมกิจการของเรา และการพัฒนายี่ห้อให้
แข็งแกร่งในตลาดท้องถิ่น" Hugo Powell ประธานบริหารของ Interbrew กล่าว
ก่อนหน้านี้ Powell สามารถเพิ่มขนาดองค์กรขึ้นได้เกือบเท่าตัวจากตลาด โดยเฉพาะการจำหน่ายเบียร์ยี่ห้อ
Stella Artois, Labatt และ Rolling Rock นอกจาก นี้ยังมาจากการเข้าเทกโอเวอร์กิจการในเอเชียและยุโรปอีก
6 แห่ง รวมถึงการซื้อธุรกิจเบียร์ในสหราชอาณาจักร Whitbread และ Bass เมื่อปีที่แล้ว
การดำเนินการรูปแบบดังกล่าวเกิดจากความมุ่งมาดปรารถนา ที่จะเข้าไปแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดในยุโรปจาก
Heineken คู่แข่งที่สำคัญ แต่หากพิจารณาเฉพาะ ปริมาณผลิตภัณฑ์แล้ว Interbrew
เป็นรองแค่ Anheuser- Busch เจ้าของเบียร์ยี่ห้อ Bud ที่มีฐานการผลิตในเซ็นต์หลุยส์
เดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว Interbrew ประสบความสำเร็จในการซื้อ Whitbread Beer
ยักษ์ใหญ่เบอร์ 3 ของสหราชอาณาจักรด้วยเม็ดเงิน 590 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะเดียวกันก็ล้มเหลวในการซื้อ Bass Brewers จากบริษัท Bass แม้ว่าจะเสนอ
เงินสูงถึง 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเดือนสิงหาคมในปีที่ผ่านมา จากอุปสรรคของกฎหมายสหราชอาณาจักรที่มองว่าเป็นเรื่องการผูกขาดตลาด
อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวไม่ใช่ ว่า Interbrew จะหมดความหวังไปเสียทีเดียว
ถ้าหากพวกเขายินยอมขายเบียร์บางยี่ห้อของ Bass ออกไป ดีลนี้ก็ดำเนินต่อไปทันที
และหากถึงจุดนั้น Interbrew จะมีส่วนแบ่งตลาดเบียร์ในสหราชอาณาจักรถึง 32%
สำหรับการซื้อ Beck เป็นเรื่องที่ Interbrew มีความมั่นใจสำหรับอนาคต "เป็น
ศักยภาพสูงสุดทั้งด้านปริมาณและมูลค่า" Luc Missorten เจ้าหน้าที่บริหารการเงินของ
Interbrew บอก
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ระบุว่ามูลค่า ของ Beck สูงเกินไป แต่ก็ไม่เป็นปัญหาต่อ
Interbrew ในการสร้างผลกำไรด้วยการเพิ่มการส่งออกไปยังบางประเทศ เช่น อเมริกา
ซึ่งเป็นตลาดที่ Beck ส่งออกเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว
"มันไม่ใช่ราคาถูกๆ" Han Van Lamoen นักวิเคราะห์จาก Delta Lioyd
Bank ในเนเธอร์แลนด์กล่าว "แต่ถ้าพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์ของเครือข่ายแล้วดันยอดขายเพิ่มได้
20% จะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้าทำไม่ได้จะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า"
การรุกเข้าสู่เยอรมนีครั้งนี้เป็นการรวมกิจการที่จะสร้างศักยภาพอันยิ่งใหญ่ให้
กับ Interbrew เพราะได้ซื้อเบียร์ยี่ห้อชั้นนำระดับโลกเพื่อเพิ่มผลประกอบการให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับราคาของดีลนี้ Interbrew ยอม รับว่าเป็นมูลค่าในระดับที่ใจกว้างอย่างมาก
อย่างไรก็ตามบริษัทยินดีที่จะจ่าย เนื่องจากมองเห็นความแข็งแกร่งของ Beck
ในการทำ การตลาดในเยอรมนี "เหตุผลที่เราซื้อเพราะ สนใจยี่ห้อ ซึ่งเป็นชื่อที่ดีมากสำหรับตลาดโลก"
Corneel Maes โฆษกของ Interbrew บอก
เช่นเดียวกับความเห็นของ Johan van Geeteruyen นักวิเคราะห์แห่ง Petercam
SA ในกรุงบรัสเซลส์ "พวกเขาจ่ายในราคาที่สูงอย่างแท้จริง ในระยะสั้นอาจจะเป็นความ
กดดัน แต่ในระยะยาวเป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับ Interbrew"
กระนั้นก็ดี van Geeteruyen ยังเป็นห่วงกรณีการโปรโมต Beck ในตลาดอเมริกา
เพราะต้องเจอกับคู่แข่งที่สำคัญอย่าง Heine-ken "ตลาดเบียร์นำเข้าในอเมริกา
Heineken เข้าครอบคลุมทั้งหมดแล้ว ซึ่งเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของ Interbrew
ในการเข้าไปยึดตลาด"
อย่างไรก็ตาม นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีและ ดูเหมือนจะเป็นชัยชนะของ Interbrew
ยกแรก เพราะคู่แข่งที่เจรจาขอซื้อ Beck และพ่ายแพ้ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นคู่แข่งทั้งนั้น
ได้แก่ Anheuser-Busch และ Scottish & Newcastle Breweries
ในปี 1873 Heinreck Beck นักปรุงเบียร์, Luder Rutenberg ผู้ก่อสร้าง และนักธุรกิจอย่าง
Thomas May รวมตัวกันเพื่อจัดตั้งบริษัทผลิตเบียร์ชื่อ Beck&Co ในเมืองเบรเมนและโรงงานแล้วเสร็จในปี
1875 โดยช่วงแรกผลิตขายเฉพาะตลาดท้องถิ่น จนกระทั่งปี 1900 เริ่มส่งออกไปต่างประเทศ
ในปี 1917 บริษัทเทกโอเวอร์กิจการเบียร์ท้องถิ่น Wilhelm Remmer และในปี
1921 เข้าควบรวมกิจการกับ Hemelinger Brauerei และ C.H.Haake Brauerei แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น
Brauerei Beck & Co. ในปี 1948
ปัจจุบัน Beck เข้าไปตีตลาด 120 ประเทศทั่วโลก มีเบียร์หลายยี่ห้อ อาทิ
Beck Dark, Haake-Beck Dunkel, Haake-Beck Pils และ Rostocker
ส่วนประวัติศาสตร์ของธุรกิจเบียร์เบลเยียม เริ่มจากพระแห่งโบสถ์ Leffe
Abbey ที่รู้จักปรุงเบียร์มาตั้งแต่ปี 1240 จนกระทั่งปี 1366 โรงผลิตเบียร์
Den Horen ได้ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นโรงเบียร์ที่อยู่รอดจากยุคเริ่มต้น
ในปี 1717 นักปรุงเบียร์ชื่อ Sebastien Artois เจ้าของเบียร์ยี่ห้อ Stella
Artois เข้าซื้อกิจการ Den Horen จากนั้นในปี 1853 ตระกูล Piedboeuf ก่อตั้งโรงผลิตเบียร์ขึ้นอีกแห่งโดย
ใช้ยี่ห้อ Jupiler อีก 67 ปีต่อมาบริหารงานโดย Albert Van Damme ขณะที่ตระกูล
Artois และ Piedboeuf ได้ขยายกิจการออกไปด้วยการเทกโอเวอร์โรงผลิตเบียร์
โดยแต่ละตระกูลให้ทายาทของตนเองเป็นผู้บริหาร จนกระทั่งในปี 1987 แต่ละฝ่ายเห็นว่าหากต้องการเห็นการเติบใหญ่ควรควบรวมกิจการกันซึ่งกลายเป็นบริษัท
Artois-Piedboeuf Interbrew ในปี 1989 บริษัทได้ควบรวมกิจการกับโรงผลิตเบียร์
Hoegaarden จากนั้นอีก 3 ปีถัดมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น Interbrew พร้อมกับรวมกิจการกับ
Belgian brewery และซื้อกิจการเบียร์ในบัลกาเรีย, โครเอเทีย และฮังการี และในปี
1995 ซื้อกิจการ Oranje-boom ในเนเธอร์แลนด์ ปี 1998 จ่ายเงิน 250 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพื่อถือหุ้น 50% ใน Doosan Group Oriental กิจการเบียร์อันดับ 2 ของเกาหลีใต้
และเทกโอเวอร์ Russian brewer Roser ปีถัดมาซื้อ Sun Brewing กิจการเบียร์เบอร์
2 ของ รัสเซีย พร้อมกับซื้อ Korea Jinro-Coor Brewery