"เพลิน" เป็นชื่อของโรงเรียนสอนภาษาเล็กๆ บนตึกเมอร์คิวรี่อาร์ต
ชั้น 12 ตึกใหญ่กลางกรุง ที่เพียงก้าวแรกเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็จะพบกับ บรรยากาศสดใสน่ารักๆ
ซึ่งคงเรียนได้เพลินจริงๆ เป็นแน่
ชื่อของโรงเรียนน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงแนวความคิดของเจ้าของโรงเรียนได้ระดับหนึ่งแล้วว่า
ที่แห่งนี้ไม่ใช่โรงเรียน ที่มุ่งเน้นในเรื่องกวดวิชา และการติวเข้มให้กับบรรดาเด็กๆ
อย่างเดียวแน่นอน
วรนาถ อนุสรนิติสาร ผู้จัดการ และเจ้าของโรงเรียนเล่าถึง ที่มาของชื่อโรงเรียนให้
"ผู้จัดการ" ฟังว่า "เพลิน" มาจากคำ ซึ่งเป็นแนวความคิดในการเอา
play+learn หรือ "เล่น เพื่อรู้" ของ ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้บังคับการของวชิราวุธวิทยาลัยคนปัจจุบันมาใช้
เพราะเห็นด้วยอย่างมากๆ ว่าการศึกษาต้องเป็นสิ่งที่เพลิดเพลินสำหรับเด็กๆ
เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้เด็กต้องการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต
วรนาถ หรือครูจิ๋ม ของเด็กๆ ทุกคนที่นี่ เป็นบุตรของข้าราชการกระทรวงต่างประเทศผู้หนึ่ง
จึงมีโอกาสได้ไปศึกษาจากต่างประเทศตั้งแต่เล็กจนจบปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ
จากมหาวิทยาลัยในประเทศแคนาดา และกลับมาเมืองไทยสอบทุนของแบงก์ชาติไปเรียนต่อปริญญาโท
ที่ประเทศอังกฤษ
กลับมานั่งทำงาน ที่แบงก์ชาติในฝ่ายวิชาการ และฝ่ายการเงินระหว่างประเทศ
นานถึง 16 ปี หลังจากนั้น ก็ได้ลาออก มาช่วยงานทางด้านต่างประเทศของสนธิ ลิ้มทองกุล
ประธานบริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ในช่วงเวลา ที่กำลังขยายงานบริษัทในเครืออย่างมากมายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
รวมทั้งงานทางด้านการศึกษาทางไกล และในขณะเดียวกันเธอใช้เวลา ที่เหลือจากการทำงานไปสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนของโรงเรียนวชิราวุธด้วย
งานชิ้นใหม่ของเธอเกิดขึ้นได้เพราะใจรักในการสอน และมีความสนใจเรื่องการศึกษามานาน
ประจวบเหมาะกับเป็นยุคที่ผู้ปกครอง ได้ตื่นตัวในการที่จะให้บุตรหลาน เรียนรู้ภาษาอังกฤษตั้งแต่วัยเด็กเพิ่มมากขึ้น
จึงมั่นใจว่ารูปแบบของโรงเรียนสอนภาษาของเธอน่าจะมีความเป็นไปได้ที่สุด ที่จะให้เด็กเรียนรู้ภาษา
ที่ 2 ด้วยความสุข และได้ผลที่สุด
วรนาถเชื่ออย่างมากๆ ว่าการเริ่มต้นจากการอ่าน เป็น การเปิดเข้าไปสู่โลกกว้าง ที่แสนจะสนุก
ตื่นเต้นเร้าใจ ลึกลับ และน่าติดตามต่ออย่างที่สุด ที่นี่จึงให้ความสำคัญกับ
การอ่านหนังสือนิทาน วรรณกรรมเด็ก กลอนเด็ก เพลงกล่อมเด็ก และเรื่องทั่วๆ
ไป ที่อยู่ในความสนใจของเด็กเช่นเรื่องของสัตว์ ต้นไม้ ธรรมชาติ และเรื่องของจักรวาลต่างๆ
นอกจากนั้น การอ่านจะเป็นบันไดขั้นแรกของการก้าวสู่พัฒนาทักษะขั้นต่อไปคือ การฟัง
พูด และเขียน "เพลิน" จะเน้นเรื่องการเขียนให้ได้ดีเป็นพิเศษ โดยเริ่มจากการเขียนเรื่องเล่าของตนเอง
เขียนนิทาน การแต่งกลอนโดยครูผู้สอนจะค่อยๆ สอนเด็กๆ ให้เอามาปรับให้ถูกต้องทั้งหลักไวยากรณ์ และตัวสะกด
ทั้งหมดคือ หนทาง ที่จะไปสู่ความสำเร็จโดยเด็กๆ เองก็จะไม่ต้องมานั่งเคร่งครัดในการท่องศัพท์
ท่องไวยากรณ์ แต่จะซึมซับทุกอย่างไปได้พร้อมๆ กัน
เพลิน เลยมี "Book Room" ซึ่งเป็นห้องเล็กๆ ที่สวยงามน่ารักๆ ทาผนังด้วยสีสันอันสดใส
และที่สำคัญมีหนังสือดีๆ มีเรื่องราวน่าสนใจหลายเล่ม วางเรียงรายอยู่ให้เด็กๆ
ได้เลือกค้นคว้าหาอ่านได้ตามใจชอบ แต่เมื่อถึงเวลาเรียนคุณครูจะเป็นผู้นำเด็กเข้ามา
และถามความเห็นเด็กๆ ว่า วันนี้เราจะอ่านเล่มไหนกัน เมื่อลงมติกันได้แล้วจึงจะเป็นผู้เริ่มต้นอ่านให้เด็กๆ
ฟัง
หากเด็กๆ มาเรียน ที่นี่อาทิตย์ละเพียง 2 ชั่วโมง เกือบ 1 ชั่วโมง ที่เขาจะต้องเข้าไปใช้เวลาใน
Book Room หลังจากนั้น เมื่อมีความพร้อมระดับหนึ่งแล้วเด็กๆ ก็จะใช้ความพยายามในการเขียน
ครูจะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้าง แรงบันดาลใจให้กับเด็กในการเขียน รวมทั้งการแก้งานต่างๆ
"เชื่อว่าภายในเวลา 1 ปี เด็กกลุ่มนี้จะมีพัฒนาการทางด้านภาษาสูงขึ้น
มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ในเมื่อการเขียนเป็นขั้นตอน ที่ยากที่สุด หากเขาทำได้จะสร้างความเชื่อมั่นให้เขากล้าทำอย่างอื่น ที่ยากขึ้น
แต่ ที่สำคัญผู้ปกครองเอง ต้องใจเย็นให้เวลา และไม่คาดหวังกับเด็กเกินไปนัก"
วรนาถย้ำด้วยความมั่นใจ
หลักสูตรต่อไปเมื่อเด็กๆ มีความพร้อมเพิ่มขึ้นทางโรงเรียนจะเน้นในเรื่องของการทำโปรเจ็กต์ร่วมกัน เพื่อฝึกทักษะการคิดแก้ปัญหา
การคิดเชิงวิเคราะห์ และการคิดอย่าง สร้างสรรค์โดยเนื้อหาจะครอบคลุมเรื่องรอบๆ
ตัวเด็ก เช่น สิ่งแวดล้อม สังคม ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ และยังเน้นในเรื่องการอ่านนิทานพื้นบ้าน
นิทานนานาชาติ เรื่องเล่า เพื่อเป็นฐานในการฝึกคิด ฝึกเล่าเรื่อง และเขียนเรื่อง
ปัจจุบันเพลินกำลังจัดโปรแกรมพิเศษในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เริ่มรับสอนเด็ก
ตั้งแต่อายุ 5-6 ขวบ ใช้หลักสูตร ที่น่าสนใจคือ การฟัง พูด อ่าน เขียน เริ่มจากการฟัง
นิทาน และเทพนิยาย กลอน และเพลงกล่อมเด็ก เพลงเด็ก พูดภาษาอังกฤษกับครูเจ้าของภาษา
เล่านิทานเป็นคำๆ ร้องเพลงเด็ก อ่านคำในนิยาย และกลอน ชมละครหุ่นกระบอก และเขียนตัวอักษร และคำ
โดยใช้ศาสตร์ และศิลปะในการเขียน ซึ่งเน้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย และประสาทสัมผัส
และยังมีหลักสูตรเสริมทักษะ ฟัง พูด อ่านเขียน สำหรับเด็กอายุ 6-8 ขวบ
และเด็กถึง 9 ขวบ ในช่วงวันดังกล่าวด้วย
ส่วนเด็กวัยรุ่นอายุ 15 ปีขึ้นไป ก็ได้จัดโปรแกรม ที่เน้นในเรื่องของ Creative
Writing Report Writng และ Exploratory Writing รวมทั้งยังมีหลักสูตรสำหรับเจ้าของโครงการหรือนักธุรกิจ ที่สนใจในเรื่องของการเขียน และพูด
Speech ด้วย
หลังจากประสบความสำเร็จในการจัด Summer Holiday Programmes With English
ในช่วงปิดเทอมใหญ่ ครั้ง ที่ผ่านมา ในเดือนตุลาคม ที่จะถึงนี้ ระหว่างวันที่
17-27 ตุลาคม 2543 เด็กๆ เตรียมตัวสนุกสนานกันอีกครั้งในโปรแกรม "The WORLD
OF MAGIC An English and Creative Arts Day Camp" เป็นโครงการแคมป์ไปกลับเช้าเย็นรวมทั้งหมด
8 วัน เริ่มตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น หัวข้อในแต่ละวันก็จะแตกต่างกันไป
ทุกๆ เช้า จะเป็นการ Plearn กับภาษาอังกฤษกับครูเจ้าของภาษา ส่วนตอนบ่ายจะเป็นการนำภาษาอังกฤษจากตอนเช้ามาใช้ร่วมใน
Creative arts (Drama, Music, Crafts) โดยมีอาจารย์อดิศร จันทรสุขเป็นครูผู้ฝึก
"พี่เริ่มงาน ที่นี่เพราะรักการสอนก็จริง แต่ความเป็นครู
ซึ่งต้องเป็นผู้ให้ กับการทำธุรกิจให้อยู่รอดเป็นเรื่อง ที่ไปด้วยกันยาก เราเองก็ไม่เคยรู้
แต่การเห็นพัฒนาการของเด็กๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้มีกำลังใจมากๆ
เลยค่ะ"
วรนาถกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ก่อน ที่จะออกไปทักทายรับนักเรียนคนแรกหน้าตาน่ารัก ที่เพิ่งปลดเป้หนังสือลงจากไหล่เตรียมเพลินกับภาษาอังกฤษต่อกับครูจิ๋มเป็นคนแรกของบ่ายวันนั้น