แนวคิดที่แตกต่างกันของผู้ว่าแบงก์ชาติคนปัจจุบันกับผู้ว่าคนก่อนเริ่มปรากฏให้เห็นเพิ่มขึ้นอีก
หลังจากที่ได้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร ประเภท 14 วัน จากระดับ
1.5% เป็น 2.5% ไปเมื่อ 3 เดือนก่อน เพื่อให้โครงสร้างอัตราดอกเบี้ยของระบบเป็นรูป
เป็นร่าง
คราวนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า นโยบายการเอาผิดกับผู้บริหารสถาบันการเงินที่ทำผิด
กฎหมายในช่วงที่เขาเป็นผู้ว่าการฯ จะกระทำอย่างมีความรอบคอบ มากขึ้น
"ถ้าผมจะทำอะไรต้องแน่ใจพอควรว่าทำแล้วต้องชนะ ผมเป็นคนที่ถ้าจะทำอะไรแล้วต้องชนะ
ซึ่งแปลว่ายังมีน้ำยาอยู่" ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวเมื่อกลางเดือนก่อน
หลังทราบผลจากอัยการอังกฤษที่ได้แจ้งกลับมายังประเทศไทยว่าไม่สามารถยื่นเรื่องไปยังศาลสูงสุด
ให้พิจารณาคำร้องเพื่อขอนำตัว ปิ่น จักกะพาก อดีตกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทเงินทุนเอกธนกิจ
กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้
การที่ไม่สามารถยื่นคำร้องไปยังศาลสูง ส่งผลให้ปิ่นไม่มีสภาพเป็นผู้ร้ายข้ามแดนในเกาะอังกฤษ
ทุกวันนี้ เขาจึงสามารถทำ ธุรกรรมต่างๆ ได้เฉกเช่นกับคนธรรมดาทั่วไป เพราะก่อนหน้านั้นเพียง
2 อาทิตย์ ศาลอุทธรณ์ของอังกฤษเพิ่งตัดสินให้เขาไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาของอัยการไทย
คดีของปิ่น จักกะพาก ใช้เวลาถึงกว่า 2 ปี จึงเพิ่งได้ข้อยุติ
คดีนี้เริ่มขึ้นในยุคของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าแบงก์ชาติคนก่อน
ซึ่งได้ประกาศนโยบายอย่างชัดเจนทันทีที่ขึ้นรับตำแหน่ง ว่าจะต้องนำผู้บริหารสถาบันการเงินที่บริหารงานผิดพลาดจนเป็น
ต้นตอของวิกฤติการเงินในปี 2540 มาลงโทษให้ได
หลังการเข้ารับตำแหน่ง ม.ร.ว.จัตุมงคลได้มีการยกเครื่องฝ่ายกฎหมายของแบงก์ชาติ
โดยดึงรัฐกรณ์ นิ่มวัฒนา จากสำนักงาน อัยการสูงสุด มาเป็นผู้ช่วยผู้ว่าการฯ
เพื่อให้เข้ามาดูแลเรื่องการ กล่าวโทษผู้บริหารสถาบันการเงินโดยเฉพาะ
ในช่วง 3 ปีที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล เป็นผู้ว่าแบงก์ชาติได้มีการกล่าวโทษผู้บริหารสถาบันการเงินไปถึง
45 คดี คิดเป็นวงเงินความเสียหายถึง 42,667 ล้านบาท (รายละเอียดดูจากตาราง)
ยังไม่รวมกับความพยายามที่จะเอาผิดกับอดีตผู้ว่าในช่วงก่อนหน้าอย่างเริงชัย
มะระกานนท์ และชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ซึ่งมีส่วนร่วมกับการปกป้องค่าเงินบาท
ในช่วงที่ถูกโจมตีจากกองทุนต่างประเทศในปี 2540 จนเป็นเหตุให้ต้องมีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทตามมา
เรียกได้ว่าเป็นความพยายามที่จะกล่าวโทษผู้บริหารสถาบันการเงิน ทั้งของรัฐและเอกชนครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติ
ศาสตร์ของระบบการเงินไทย
มีผู้บริหารสถาบันการเงินหลายคน มองความพยายามดังกล่าวของ ม.ร.ว.จัตุ-มงคลว่าทำเพื่อต้องการสร้างภาพ
เพราะในช่วงที่เขาเข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติใหม่ๆ เป็นช่วงที่มีกระแสเรียกร้องสูงในสังคมไทย
ที่ต้องการหาตัวผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
และความพยายามที่จะเอาผิดกับผู้บริหารสถาบันการเงินนั้นเอง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจหยุดชะงัก
เพราะผู้บริหารสถาบันการเงินหลายแห่งถึง กับเกิดอาการเกร็ง ไม่กล้าแม้กระทั่งจะพิจารณาปล่อยกู้
เนื่องจากกลัวว่าหากเกิด ผิดพลาดไปแล้วจะต้องติดคุก
ปัจจุบัน ผลของคดีส่วนใหญ่ได้เริ่ม ปรากฏข้อสรุปออกมา และเริ่มเห็นแนวโน้ม
แล้วว่าเป็นเรื่องค่อนข้างยากพอสมควรที่แบงก์ชาติจะนำผู้บริหารที่ถูกกล่าวโทษเหล่านั้นมารับผิดได้
ก่อนหน้าคดีของปิ่นจะได้ข้อสรุป จากจำนวนคดีที่มีการกล่าวโทษไปแล้ว 45
คดี เป็นคดีที่แบงก์ชาติไม่สามารถนำผู้ถูกกล่าวหามาลงโทษได้ถึง 5 คดี ขณะที่มีคดีที่ศาลชั้นต้นได้ตัดสินให้แบงก์ชาติเป็นฝ่ายชนะเพียง
2 คดี แต่คดียังไม่สิ้นสุด เพราะอยู่ระหว่างการอุทธรณ์และฎีกา
นอกจากนี้ หลังจากคดีของปิ่นได้ข้อสรุปออกมาเพียงไม่กี่วัน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
ก็ได้สั่งไม่ฟ้องคดีที่แบงก์ชาติกล่าวโทษ ดร.สม จาตุศรีพิทักษ์ กับพวกในกรณีธนาคารนครหลวงไทยเพิ่มเข้ามาอีก
มีการประมวลกันว่า เหตุผลที่การกล่าวโทษเพื่อนำผู้บริหารสถาบันการเงินมารับผิดของแบงก์ชาติ
ไม่ประสบผลสำเร็จมีหลายประการ เช่น หลักฐานอ่อนเกินไป พฤติกรรมไม่เข้าข่าย
หรือมูลความผิดไม่แน่ชัด แม้กระทั่งการประสานงานระหว่างตำรวจกับผู้ร้องคือเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายของแบงก์ชาติเองยังติดขัด
ฯลฯ
แต่เหตุผลสำคัญที่มีหลายคนมองก็คือ ความพยายามที่จะเอาผิดกับผู้บริหารสถาบันการเงินเหล่านี้ในยุคของ
ม.ร.ว. จัตุมงคลนั้น ทำไปอย่างไม่จริงจังเท่าไรนัก
ซึ่งเหตุผลนี้เอง ที่น่าจะทำให้ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร ผู้ว่าฯ คนปัจจุบัน ต้องออกมาย้ำ
ให้ชัดถึงแนวคิดที่กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น "แม้ผมจะไม่ใช่ลูกหม้อ แต่การที่ผมมาดำรง
ตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติ ก็จะรักษามาตร-ฐาน คุณภาพตามเดิม สิ่งใดควรทำผมก็ทำ
สิ่งใดทำไม่ได้ ก็จบ"