หนังสือพิมพ์ "the Sun" และ "the Mail on Sunday" ในอังกฤษ พากันประโคมข่าวเกี่ยวกับความเยี่ยมยอดของรถมาเลเซีย
Proton SatriaGTi ซึ่งเป็นรถสปอร์ต hatchback ขนาด 1.8 ลิตร แต่หากใครจะสืบค้นถึงเบื้องหลังความสำเร็จดังว่าก็คงต้องเริ่มดูจากแผ่นป้ายสีเงินขนาดเล็ก
ที่ติดข้างตัวถัง แผ่นป้ายนั้นมีข้อความว่า "engineered by Lotus"
เกือบสี่ปีมาแล้วที่บริษัทโปรตอน ผู้ผลิต Satria GTi เข้าซื้อหุ้น 80%
ของโลตัส กรุ๊ป (Lotus Group) ซึ่งเป็นกิจการด้านวิศวกรรมยานยนต์และรถสปอร์ตแห่งอังกฤษ
หลังจากนั้นมา โปรตอนก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในด้านเทคนิคมาเสริมให้กับรถยนต์ที่บริษัทผลิตขึ้น
และประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะในตลาดอังกฤษซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของโปรตอน
แม้ว่าบริษัทจะประสบปัญหาทางด้าน การเงินถึงขั้นประสบขาดทุนอย่างต่อเนื่องจาก
การซื้อหุ้นกิจการโลตัสก็ตามที
โลตัสมีชื่อเสียงโดดเด่นในด้านรถสปอร์ต แต่ส่วนที่จัดเป็นเพชรน้ำเอกที่มาเสริม
ให้กับโปรตอนก็คือกลุ่มงานทางด้านการออกแบบและพัฒนา ซึ่งเคยสร้างงานให้กับลูกค้าอย่างเจเนอรัล
มอเตอร์ (General Motors) ผู้ผลิตรถชั้นนำของโลกมาแล้ว
เมื่อทีมออกแบบและพัฒนาของโลตัสหันมาจับงานผลักดันรถยนต์ขนาดเล็กอย่าง
Satria โลตัส ดำเนินการยกเครื่องตัวถังและโครงรถใหม่ทั้งหมด อีกทั้งยังปรับปรุงประสิทธิภาพในการเกาะถนน
และโละทิ้งเครื่องยนต์ของมิตซูบิชิที่เทอะทะไปเสีย
"โลตัสมีส่วนอย่างยิ่งในการพัฒนาขีดความสามารถของโปรตอนและทำให้ยอดขายรถเพิ่มขึ้น"
โรเบิร์ต ทิคเนอร์ (Robert Tickner) ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ Lotus Engineering
บอก เขายังเล่าถึงการออกแบบ พัฒนา และการผลิตเครื่องยนต์ Campro ที่จะมาแทนที่เครื่องยนต์ของมิตซูบิชิที่โปรตอนใช้อยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนั้น ความร่วมมือระหว่างโลตัสกับ Satria GTi จะมีผลต่อรถรุ่นใหม่ๆ
ของโปรตอน ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจดูเบาได้ เพราะโปรตอนนั้นจับตลาดรถที่มีต้นทุนการผลิตต่ำมาตลอด
เมื่อได้เทคโนโลยีของโลตัสเข้ามาเสริมแล้วโปรตอนย่อมมีโอกาสผงาดขึ้นเป็นรถยนต์
ที่มีความน่าเชื่อถือในแง่ของสมรรถนะอย่างแท้จริง และนี่คือโอกาสที่จะสร้างกำไรเพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม โลตัสเองก็พยายามรักษาฐานลูกค้าของตัวเองไว้ โดยคงความเป็นอิสระจากโปรตอนในตลาดอังกฤษ
แต่ประสานความร่วมมืออย่างแข็งแกร่งกับบริษัทแม่ของโปรตอนด้วยการจัดตั้ง
"Lotus Engineering Malaysia" ขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เพื่อรองรับลูกค้าหลักคือโปรตอนและลูกค้าอื่นในเอเชีย
ด้านโปรตอนเองก็มีความคืบหน้าเช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
บริษัทได้เปิดตัวรถรุ่นล่าสุด "Impia" ในตลาดอังกฤษ และเป็นรถที่ออกแบบโดยโปรตอนทั้งหมด
(รถรุ่นดังกล่าววางตลาดในเอเชีย เมื่อปีที่แล้วในชื่อ "Waja") ทั้งนี้
Impia เป็นรถยนต์นั่งขนาดกลางสำหรับครอบครัวที่มุ่งช่วงชิงตลาดกับ "Mondeo"
ของฟอร์ด
"โปรตอนพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในเชิงการพัฒนาทักษะและการเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่"
โฆษกของโปรตอนบอก
"ไม่มีคำถามเลยในแง่ของการก้าวกระโดดใน ด้านคุณภาพ แต่ในแง่ของงานวิศวกรรมนั้นเป็น
การปรับปรุงภาพพจน์ครั้งสำคัญ" แกรม แม็กซ์ตัน (Graeme Maxton) แห่งบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจรถยนต์
Autopolis ให้ความเห็น "แต่ในทางการเงินแล้วเป็นเรื่องหนักทีเดียว โลตัสนั้นเก่งกาจด้านงาน
วิศวกรรมรถยนต์ แต่ไม่มีฝีมือเลยในแง่การผลิตรถยนต์ของตนเอง"
ข้อเท็จจริงที่ยืนยันความข้อนี้ก็คือ ในรอบ 40 ปี ที่ผ่านมา โลตัสผลิตรถสปอร์ตออกสู่ตลาดได้ไม่ถึง
100,000 คัน ในขณะที่โปรตอนซึ่งแม้เป็นกิจการขนาดเล็ก แต่กลับผลิตรถออกสู่ตลาดได้ร่วมแสนคันภายในเวลาเพียงปีเดียว
พร้อมกับมีเข็มมุ่งที่จะเป็นผู้ผลิตรถป้อนตลาดโลกด้วย ด้วยเหตุนี้ การผลิตรถรุ่นใหม่ของโปรตอนจึงต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีรองรับ
ในอนาคต ส่วนในระยะสั้น รถรุ่นใหม่คงยังออกสู่ตลาดได้ล่าช้า
นอกจากนั้น โปรตอนยังต้องเตรียมเผชิญกับปัญหาอื่น กล่าวคือในปี 2005 บริษัทจะต้องรับมือกับการแข่งขันที่หนักหน่วง
ยิ่งขึ้นเมื่อมีการเปิดเสรีตลาดรถยนต์ทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก การเปิดเสรีดังกล่าว
จะส่งผลให้มีการลดภาษีรถยนต์นำเข้าในมาเลเซีย กิจการโปรตอนซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจขนาดเล็กจึงต้องลำบากอย่างยิ่ง
ในการแย่งชิงตลาดส่งออกเมื่อเทียบกับคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่างเดมเลอร์ไครสเลอร์,
จีเอ็ม และฟอร์ด อีกทั้งนโยบายของรัฐบาลมาเลเซียที่ผ่านมาก็เป็นไปในทิศทางที่แข็งกระด้างกับต่างชาติ
ทำให้กิจการโปรตอนมีโอกาสแสวงหาความร่วมมือกับบริษัทรถยนต์ข้ามชาติได้ยากเต็มที
"โปรตอนกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากยิ่ง" แม็กซ์ตันวิเคราะห์ "บริษัทมีขนาดเล็กไม่อาจต่อกรกับคู่แข่งและไม่มีใครอยากร่วมมือด้วย
แม้ว่าโปรตอนจะมีชื่อเสียงดีและผลิตรถยนต์คุณภาพเยี่ยมก็ตาม"
อย่างไรก็ดี โปรตอนควรดีใจที่อย่างน้อยก็เดินไปข้างหน้าอย่างถูกทิศทาง
ด้วยการผลิตรถยนต์ที่สนองความต้องการที่ แท้จริงของลูกค้า และการยึดอยู่กับคุณภาพเป็นเลิศย่อมจะเป็น
จุดแข็งที่นำกิจการให้อยู่รอดต่อไปได้ในวันข้างหน้า