การที่ธนาคารกรุงเทพ สามารถประคองตัวอยู่ได้ ท่ามกลางความผันแปรทาง เศรษฐกิจในช่วง
4 ปีเศษที่ผ่านมา น่าจะเป็น บทพิสูจน์ความสามารถของชาติศิริ โสภณพนิช ได้ระดับหนึ่งแล้วว่า
การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของเขา เมื่อ 7 ปีก่อน ไม่ได้มีเหตุผลจากความเป็นลูกชาย
คนโตของชาตรี โสภณพนิช เพียงอย่างเดียว
ช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้ ชื่อของชาติศิริปรากฏเป็นข่าวตามสื่อมวลชนต่างๆ
ค่อนข้างน้อย ทั้งที่ความเคลื่อนไหวของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
ย่อมเป็นที่สนใจของคนส่วนมาก
"เขาทำงานหนักอยู่เงียบๆ ชอบออก ไปพบปะเจรจาธุรกิจกับลูกค้าด้วยตัวเอง"
คนในวงการธนาคารพาณิชย์ผู้หนึ่งบอกกับ "ผู้จัดการ"
ชาติศิริถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เมื่อวันที่
22 ธันวาคม 2537 หลังจาก ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ปฏิเสธไม่ขอรับตำแหน่งต่อ หลังสิ้นสุดการลาพักร้อน
6 เดือน เนื่องจากความเครียด
ตอนขึ้นรับตำแหน่ง เขาเพิ่งมีอายุไม่ครบ 36 ปีเต็ม จัดว่าเป็นนายธนาคารที่หนุ่ม
มากที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น
ชาตรี ผู้เป็นพ่อได้กล่าวถึงการเข้ารับ ตำแหน่งของชาติศิริว่า ทำให้เขาต้องเสียโอกาสในการเรียนรู้งานอีกหลายด้าน
เพราะ ลักษณะงานของกรรมการผู้จัดการใหญ่ ต้อง ดูภาพกว้าง ตัดสินใจจากรายงานที่ได้รับ
โอกาสที่จะไปพบปะเพื่อนฝูงในรุ่นเดียวกัน ก็น้อยลง
"ผมว่าเขาเสียสละมาก" ชาตรีบอก
ความที่ต้องเข้ามารับภาระอันหนักหน่วง ในขณะที่อายุยังน้อย ทำให้ชาติศิริต้องทำงานหนัก
แต่ก็โชคดีที่ในธนาคารกรุงเทพ ยังมีผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนที่คอยให้ การสนับสนุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โฆสิต ปั้น เปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร เดชา ตุลานันท์
และที่สำคัญที่สุดคือพ่อของเขาเอง
"เขาเป็นคนที่มีบุคลิกอ่อนน้อม แม้ว่า จะเป็นถึงลูกชายของผู้ถือหุ้นใหญ่
แต่เวลาเข้าหาผู้ที่มีอาวุโสกว่า เขาก็แสดงท่าทีว่าพร้อมรับฟังคำชี้แนะเสมอ"
4 ปีที่ผ่านมา จัดได้ว่าเป็นช่วงที่ชาติศิริได้ถูกหล่อหลอมแนวความคิด จากบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์อย่างหลากหลาย
ที่สำคัญที่สุดคือมุมมองในการแก้ปัญหาเวลาเผชิญกับวิกฤติ
จากผลขาดทุนอย่างรุนแรง ในช่วงปีแรกหลังมีการลอยตัวค่าเงินบาท ธนาคารกรุงเทพเริ่มกลับมามีกำไรได้อีกครั้ง
จากผลประกอบการ 6 เดือนแรกปีนี้ ที่เพิ่งประกาศผลกำไรออกมา 3,386 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งขาดทุน 22,154 ล้านบาท
แม้ตัวเลขดังกล่าว ยังไม่ได้แสดงทิศทางอย่างชัดเจนถึงการพลิกฟื้นฐานะของ
ธนาคาร เพราะปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในภาวะตกต่ำ แต่ก็แสดงให้เห็นสัญญาณ
ประการหนึ่งว่า ณ ปัจจุบันนี้ ธนาคารกรุงเทพ น่าจะผ่านพ้นช่วงภาวะที่วิกฤติที่สุดมาได้แล้ว
ปีนี้ ชาติศิริเพิ่งจะมีอายุ 42 ปี เขา ยังมีเวลาในการบริหารธนาคารกรุงเทพไป
ได้อีกหลายปี การที่เขาต้องเผชิญกับวิกฤติ ในช่วงไม่กี่ปีแรก หลังขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่
น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญต่อการ ทำงานช่วงหลังจากนี้ไปมีความราบรื่น และกลุ่มผู้หลักผู้ใหญ่ในธนาคารที่ให้การสนับ
สนุนเขามาตลอด ก็น่าจะวางมือได้อย่างสบายใจมากขึ้น