วิทิต ลีนุตพงษ์ เป็นลูกคนที่ 9 ของอรรถพร ลีนุตพงษ์ เจ้าของตำนาน ผู้สร้างยนตรกิจ
ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตลงเนื่องจากหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เขาเป็น 1 ใน "ลีนุตพงษ์" รุ่นที่ 2 ซึ่ง เป็นกำลังสำคัญของยนตรกิจ
กรุ๊ปอยู่ในขณะนี้
เขาพยายามอย่างยิ่ง ที่จะสืบทอดธุรกิจต่อจากรุ่นพ่อ และอาของเขา อรรถพร-อรรถพงษ์
ลีนุตพงษ์ ที่ก่อร่างสร้างอาณาจักร "ยนตรกิจ" จากร้านขายอะไหล่รถยนต์เก่า
ซึ่งเป็นเพียงห้องแถวเล็กๆ ย่านเชียงกง เมื่อ 50 ปีก่อน จนกลายเป็นผู้ผลิต
และจำหน่ายรถยนต์จากยุโรปรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน
แม้เขาจะไม่ใช่ลูกชายคนโต แต่กลับ มีบทบาทโดดเด่นกว่าพี่น้องหลายคน
บทบาทสำคัญที่สุด คือการวางแนวทางให้ยนตรกิจในยุคปัจจุบัน ยังคงความเป็น
ผู้นำสำหรับการขายรถยนต์จากยุโรปอยู่ ต่อไป ท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น
โดย เฉพาะจากการเข้ามาลงทุนของค่ายรถเจ้า ของแบรนด์ด้วยตัวเองในประเทศไทย
ตลาดรถยนต์ของไทยขณะนี้ หากเปรียบเทียบกับช่วงที่ยนตรกิจเติบโตเต็มที่
ในช่วงทศวรรษปี 2530-2539 จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ตลาดปัจจุบัน เป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง เพราะถือเป็นตลาดเปิดที่ผู้เล่นทุกคนสามารถกระโดดเข้ามาแข่งขันกันได้อย่าง
เต็มที่ ไม่เป็นเพียงการแข่งขันระหว่างค่ายยุโรปกับญี่ปุ่นเหมือนเช่นในอดีต
และแม้แต่ค่ายรถยุโรปด้วยกัน ก็ยังต้องแข่งขันกันเอง โดยมีผู้นำเข้าอิสระเป็นตัวแทรกซ้อน
ปีนี้อาจจะเป็นปีที่วิทิตเหนื่อยน้อยลง เมื่อเทียบกับเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาต้องวิ่งวุ่น
เพื่อหาคู่ค้ารายใหม่ หลังจากที่บีเอ็มดับบลิว ที่เป็นคู่ค้ากันมานานกว่า
20 ปี ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเอง
2 ปีก่อน เขาแก้ปัญหานั้นได้ เมื่อ สามารถเจรจากับโฟล์ค สวาเกน กรุ๊ป เยอรมนี
ให้เข้ามาเป็นคู่ค้ารายใหม่ได้สำเร็จ
แต่เขาก็ยังคงเหนื่อยต่อไป เพราะการ จะสร้างแบรนด์รถยนต์ให้ติดตลาดได้นั้น
ต้อง ใช้ระยะเวลา
แม้ว่าทั้งโฟล์ค และออดี้ จะเป็น แบรนด์ที่คนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้ว และเขาก็เคยเป็นตัวแทนขายรถทั้ง
2 ยี่ห้อนี้ แต่เนื่อง จากการทำตลาดรถทั้ง 2 ยี่ห้อ ในช่วงหลาย ปีก่อนหน้า
ไม่มีความต่อเนื่องเหมือนกับที่เขาทำให้กับบีเอ็มดับบลิว ดังนั้นเวลานี้
จึงต้องเสียเปรียบอยู่บ้าง
เพราะเปรียบเสมือนต้องสร้างตลาดขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่เอื้ออำนวย
ณ วันนี้ แม้วิทิตจะเหนื่อย แต่เขาก็คงภูมิใจอยู่ลึกๆ เพราะขณะนี้ยนตรกิจยังสามารถยืนอยู่
และยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง ในขณะที่ผู้ค้ารถยนต์คนไทยรายอื่นๆ ยังซวนเซ และหลายรายล่มสลายลงไปแล้ว
ดิ้นรนเพื่ออยู่รอด
ของยนตรกิจวิทิต ลีนุตพงษ์
วิทิต ลีนุตพงษ์ เป็นลูกคนที่ 9 ของอรรถพร ลีนุตพงษ์ เจ้าของตำนาน ผู้สร้างยนตรกิจ
ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตลงเนื่องจากหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
เขาเป็น 1 ใน "ลีนุตพงษ์" รุ่นที่ 2 ซึ่ง เป็นกำลังสำคัญของยนตรกิจ
กรุ๊ปอยู่ในขณะนี้
เขาพยายามอย่างยิ่ง ที่จะสืบทอดธุรกิจต่อจากรุ่นพ่อ และอาของเขา อรรถพร-อรรถพงษ์
ลีนุตพงษ์ ที่ก่อร่างสร้างอาณาจักร "ยนตรกิจ" จากร้านขายอะไหล่รถยนต์เก่า
ซึ่งเป็นเพียงห้องแถวเล็กๆ ย่านเชียงกง เมื่อ 50 ปีก่อน จนกลายเป็นผู้ผลิต
และจำหน่ายรถยนต์จากยุโรปรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน
แม้เขาจะไม่ใช่ลูกชายคนโต แต่กลับ มีบทบาทโดดเด่นกว่าพี่น้องหลายคน
บทบาทสำคัญที่สุด คือการวางแนวทางให้ยนตรกิจในยุคปัจจุบัน ยังคงความเป็น
ผู้นำสำหรับการขายรถยนต์จากยุโรปอยู่ ต่อไป ท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น
โดย เฉพาะจากการเข้ามาลงทุนของค่ายรถเจ้า ของแบรนด์ด้วยตัวเองในประเทศไทย
ตลาดรถยนต์ของไทยขณะนี้ หากเปรียบเทียบกับช่วงที่ยนตรกิจเติบโตเต็มที่
ในช่วงทศวรรษปี 2530-2539 จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ตลาดปัจจุบัน เป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันสูง เพราะถือเป็นตลาดเปิดที่ผู้เล่นทุกคนสามารถกระโดดเข้ามาแข่งขันกันได้อย่าง
เต็มที่ ไม่เป็นเพียงการแข่งขันระหว่างค่ายยุโรปกับญี่ปุ่นเหมือนเช่นในอดีต
และแม้แต่ค่ายรถยุโรปด้วยกัน ก็ยังต้องแข่งขันกันเอง โดยมีผู้นำเข้าอิสระเป็นตัวแทรกซ้อน
ปีนี้อาจจะเป็นปีที่วิทิตเหนื่อยน้อยลง เมื่อเทียบกับเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาต้องวิ่งวุ่น
เพื่อหาคู่ค้ารายใหม่ หลังจากที่บีเอ็มดับบลิว ที่เป็นคู่ค้ากันมานานกว่า
20 ปี ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเอง
2 ปีก่อน เขาแก้ปัญหานั้นได้ เมื่อ สามารถเจรจากับโฟล์ค สวาเกน กรุ๊ป เยอรมนี
ให้เข้ามาเป็นคู่ค้ารายใหม่ได้สำเร็จ
แต่เขาก็ยังคงเหนื่อยต่อไป เพราะการ จะสร้างแบรนด์รถยนต์ให้ติดตลาดได้นั้น
ต้อง ใช้ระยะเวลา
แม้ว่าทั้งโฟล์ค และออดี้ จะเป็น แบรนด์ที่คนไทยรู้จักกันดีอยู่แล้ว และเขาก็เคยเป็นตัวแทนขายรถทั้ง
2 ยี่ห้อนี้ แต่เนื่อง จากการทำตลาดรถทั้ง 2 ยี่ห้อ ในช่วงหลาย ปีก่อนหน้า
ไม่มีความต่อเนื่องเหมือนกับที่เขาทำให้กับบีเอ็มดับบลิว ดังนั้นเวลานี้
จึงต้องเสียเปรียบอยู่บ้าง
เพราะเปรียบเสมือนต้องสร้างตลาดขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่เอื้ออำนวย
ณ วันนี้ แม้วิทิตจะเหนื่อย แต่เขาก็คงภูมิใจอยู่ลึกๆ เพราะขณะนี้ยนตรกิจยังสามารถยืนอยู่
และยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง ในขณะที่ผู้ค้ารถยนต์คนไทยรายอื่นๆ ยังซวนเซ และหลายรายล่มสลายลงไปแล้ว