สันติ ภิรมย์ภักดี เป็น "ภิรมย์ภักดี" รุ่นที่ 3
เขาเป็นลูกของประจวบ ภิรมย์ภักดี บุตรคนที่ 2 ของพระยาภิรมย์ภักดี ผู้ก่อตั้งบริษัทบุญรอด
บริวเวอรี่
เขาเข้าสู่ธุรกิจ ในช่วงที่บุญรอด บริว เวอรี่ ซึ่งเป็นธุรกิจของตระกูลกำลังขยายตัวออกไปในแนวตั้ง
เพื่อให้ธุรกิจมีความครบวงจร โดยการขยายโรงงานแห่งที่ 2 ที่ปทุมธานี มีการจัดตั้งบริษัทบางกอกกลาส
ซึ่งเป็นโรงงาน ผลิตขวดเบียร์ โรงงานพลาสติกไทย ผู้ผลิตลัง พลาสติก บรรจุขวดเบียร์
และบริษัทเชียงใหม่ มอลท์ติ้ง ผลิตข้าวมอลท์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญ ในการผลิตเบียร์
เขามีหน้าที่รับผิดชอบทางด้านการตลาด แบ่งงานกับพี่ชายของเขา ปิยะ ภิรมย์ภักดี
ที่ดูแลด้านการผลิต
เป็นภาระรับผิดชอบด้านการตลาดในช่วงที่โครงสร้างของธุรกิจ กำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เนื่องจากรัฐบาลกำลังมีนโยบายเปิดให้มีการแข่งขันของธุรกิจเบียร์ได้อย่างเสรี
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้สันติต้องคิดหนัก เพราะเบียร์สิงห์เป็นเบียร์ที่ผูกขาด
ตลาดภายในประเทศมาเป็นระยะเวลานาน การมีคู่แข่งเกิดขึ้น จึงต้องมีการปรับตัวกันอย่างขนานใหญ่
ปัจจุบัน คู่แข่งสำคัญที่สุดคือเบียร์ช้าง ของเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งมีฐานเงินทุนที่แน่น
หนา และพยายามใช้กลยุทธ์ทางการตลาดทุก วิถีทาง เพื่อที่จะเบียดเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด
ไปจากบุญรอดบริวเวอรี่ให้ได้
แต่ช่วงที่ผ่านมา ด้วยแผนการตลาดของเขา ยังคงทำให้บุญรอด บริวเวอรี่สามารถ
ยืนอยู่ในอันดับ 1 ในตลาดเบียร์ไทยได้อย่าง เหนียวแน่น ด้วยการออกเบียร์ลีโอ
ซึ่งเป็น แบรนด์ใหม่เพื่อมาปะทะกับเบียร์ช้างโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ ยังต้องรุกขยายธุรกิจไปยังเครื่องดื่มอีกหลายประเภท เพื่อขยายตลาด
ถือเป็นภารกิจที่ค่อนข้างหนักทีเดียวสำหรับสันติ
และภารกิจนี้ ยิ่งจะต้องหนักมากขึ้น หากบุญรอด บริวเวอรี่ ต้องการจะครองอันดับ
1 ต่อเนื่องไปอีกในอนาคต
เมื่อ 13 ปีก่อน "ผู้จัดการ" เคยเขียนไว้ว่า "ภิรมย์ภักดี" รุ่นที่
3 ถือเป็นรุ่นที่โชคดีกว่ารุ่นพ่อ และรุ่นปู่มาก เพราะเป็นรุ่นที่รับช่วง
ความมั่งคั่งที่รุ่นก่อนๆ ได้สร้างเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว
แต่ปัจจุบันกลายเป็นว่า "ภิรมย์ภักดี" รุ่นนี้ กลับเป็นรุ่นที่ต้องทำงานหนักมากกว่า
เพราะเป็นรุ่นที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างรุนแรง ซึ่งทั้งในรุ่นพ่อ และรุ่นปู่ของเขาไม่เคย
ประสบมาก่อน