หากใครมีโอกาสพูดคุยกับ ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร
บล.แอสเซท พลัส จะทราบว่า เขาเป็นผู้บริหารที่มีความคิดที่สุขุมรอบคอบ แต่
เต็มไปด้วยความเด็ดขาด
บุคลิกเชิงความคิดดังกล่าวเกิดจากความเป็นผู้ที่รักศิลปะ ที่เขาสะสมมาตลอดชีวิตทั้งศิลปะและศิลปะสมัยใหม่
สะท้อนผ่าน อุปนิสัยได้เป็นอย่างดีจนประสบความสำเร็จในชีวิต โดยเฉพาะหน้าที่การงานซึ่งเขาเป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่คนหนึ่งของ
บล.แอสเซท พลัสในปัจจุบัน
สำหรับ ดร.ก้องเกียรติแล้วงานจะต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว เขาเป็นคนที่ละเอียด
อ่อนต่อเรื่องส่วนตัวหรือครอบครัว ดังนั้นจึงไม่แปลก ใจเลยที่ไม่มีใครรู้ว่า
เพื่อนสนิทของเขาคือใคร เพราะ โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยชอบ การสังสรรค์
"สิ่งที่ผมสั่งไว้กับเลขาฯ คือ ไม่รับ dinner กับใครทั้งนั้น และถ้าไม่จำเป็นจะไม่รับ
breakfast ด้วย" ดร.ก้องเกียรติเล่าถึงความเป็นส่วนตัวของเขา
ด้วยความเป็นผู้มีชื่อเสียง ประกอบกับเป็นคนเงียบๆ และไม่ใช่ตระกูลคนดัง
แต่อาศัยพื้นฐานการศึกษาสูง และประสบความสำเร็จใน ธุรกิจการเงิน แน่นอน ย่อมมีคนอิจฉาเป็นธรรมดา
จนผู้ใหญ่บางคนในวงการเงินชอบ บางคนไม่ชอบเขา
มีผู้บริหารการเงินคนไทยไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จแบบเดียวกับ ดร.ก้องเกียรติที่ได้รับการยอมรับจากนักการเงินของ
โลก ในปี 2538 เขาได้รับเกียรติจากเวที World Economic Forum ที่เมืองดาวอส
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในฐานะวิทยากรใน หัวข้อ "Global Leader for Tomorrow"
เดือนธันวาคมปีถัดมาเขาได้รับคัดเลือกให้เป็น The Euromoney Top Fifty
Financial Leader of the 21st Century จากนิตยสารยูโรมันนี
ปัจจุบันผู้คนแวดวงการเงินต่างรู้สึกอิจฉาเขา จนมีบางคนเอ่ยปากว่า "ตอนนี้ดร.ก้องเกียรติไม่มีเวลาใช้เงิน
มีแต่เวลาหา เงิน"
ดร.ก้องเกียรติเติบโตมาจากครอบครัว ที่มีพื้นฐานชนชั้นกลาง ในวัยเด็กเรียนหนังสือ
ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ (บางรัก) แล้วไปเรียน ต่อที่เตรียมอุดมศึกษา และเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
จุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เขาได้ทุนธนาคารกสิกรไทยในการศึกษา MBA ที่ Wharton School มหาวิทยาลัย
เพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ศึกษาปริญญาโท และปริญญาเอกด้าน Operation Research
มหาวิทยาลัยเดียวกัน
ขณะที่ศึกษาอยู่ที่อเมริกาได้รับการฝึกฝนการทำงานอย่างโชกโชน ทั้งการเป็นที่ปรึกษาโครงการภาครัฐและเอกชน
เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการของอเมริกา บริษัทเบียร์ในเม็กซิโก
นักวิจัยอาวุโส และที่ปรึกษา Wharton Applied Center และเป็นที่ปรึกษาของ
Booz Allen Hamilton และ AT&T
หลังจากสั่งสมประสบการณ์ในต่างแดนจนเต็มที่แล้ว ดร.ก้องเกียรติเดินทางกลับประเทศไทย
เพื่อใช้ทุนที่ธนาคารกสิกรไทย เมื่อปี 2527 ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าส่วน
ส่วนส่งเสริมธุรกิจฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ดูแล งานด้านวิเคราะห์สินเชื่อ นี่คือจุดเริ่มต้นของ
ดร.ก้องเกียรติ ในสายงานธุรกิจการเงิน
ขณะที่กำลังก้าวหน้าในสายงาน ดร.ก้องเกียรติก็ถูกผลักดันจากความทะเยอ ทะยานของตัวเองให้เข้ามาทำงานกับบริษัทต่างชาติ
แบร์ริ่ง รีเสิร์ช (สำนักงานกรุงเทพฯ) หลังทำงานที่ TFB ได้เพียง 4 ปี ตำแหน่งสุดท้ายใน
TFB ของ ดร.ก้องเกียรติ คือ ผู้ช่วย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารดูแลงานตลาดบัตรพลาสติก
ปี 2532 ดร.ก้องเกียรติ กลายเป็นเจ้าหน้าที่บริหารระดับ Chief Representative
คนแรกของแบร์ริ่ง รีเสิร์ช ในกรุงเทพฯ
"เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งคนเราต้องมีการเปลี่ยนแปลง" คือ สิ่งที่เขาตัดสินใจออกมาทำงานในสิ่งที่ตนเองใฝ่ฝัน
และการที่เขาได้มานั่งตำแหน่งสูงสุดนับว่าเป็นคนไทยคนแรก ที่นักค้าหุ้นระดับมืออาชีพของโลกอย่าง
Christopher Healh ผู้บริหารระดับสูงแบร์ริ่ง ซีเคียวริตี้ ลอนดอน ยอมรับในฝีมือ
ชีวิตของ ดร.ก้องเกียรติ เปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต เมื่อตัดสินใจออกมาก่อตั้ง
บล.แอสเซท พลัส โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งสำคัญ คือ อนันต์ อัศวโภคิน แห่งแลนด์แอนด์เฮ้าส์
และผู้บริหารกองทุน swiss fund
กำเนิดของ บล.แอสเซท พลัส เกิดจากได้รับมอบหมายจากกรรมการชุดเดิมของ บล.ชาวไทย
ให้เข้าฟื้นฟูกิจการ โดยเสนอแผนฟื้นฟูต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) จนได้รับอนุมัติ จากนั้น บล.ชาวไทย เปลี่ยนมาเป็น บล.แอส เซท พลัส
ด้วยเงินเพียง 500 กว่าล้านบาท
ความที่เป็นนักอนุรักษนิยมของ ดร.ก้องเกียรติ บล.แอสเซท พลัส จึงมีทิศทาง
ไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ทำเฉพาะธุรกิจ ที่มีความเชี่ยวชาญ อีกทั้งไม่ทำอะไรที่เกินตัว
เพราะเขาชอบที่จะเป็น niche player ทำในสิ่งที่ถนัดและมีคู่แข่งน้อย สิ่งที่ว่านั้นคือธุรกิจ
ด้านวาณิชธนกิจ (investment bangking : IB) ซึ่งถือเป็นงานที่ ดร.ก้องเกียรติ
ถนัดและมีความชำนาญมากที่สุด บรรดาผู้ที่อยู่ในวงการ การเงินยอมรับในฝีมือด้านนี้ของเขา
"ถ้าเทียบงานด้านวาณิชธนกิจหนึ่งต่อหนึ่งแล้ว ดร.ก้องเกียรติ ถือว่าเก่งที่สุดและไม่มีใครกิน
เขาลง ไม่ว่าจะเป็นต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจ ในเมืองไทยหรือคนไทยด้วยกันเอง
เพราะงานนี้เป็นเรื่องฝีมือและความสามารถเฉพาะตัว"
แน่นอนสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ดร.ก้องเกียรติมีพร้อม รวมทั้งสายสัมพันธ์ที่ดี
ความ รู้ความสามารถทางการเงิน ทีมงานที่แข็ง แกร่ง การรักษาความลับของลูกค้าเป็นเครื่อง
ชี้ขาดความสำเร็จของวาณิชธนกิจ
"สิ่งที่เราถนัดคือการประสานหา ผู้ร่วมทุน หาผู้ซื้อขายหรือแนะนำและจัด
การด้านการเงินมากกว่า เราคงไม่เข้าไปร่วมทุนหรือบริหารกิจการนั้นเอง"
ดร.ก้องเกียรติบอก
นับจากนั้นเป็นต้นมา เขาคือ นักวาณิชธนกิจที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง ที่สามารถ
สร้าง บล.แอสเซท พลัส และทำกำไรเลี้ยงตัวเองได้ในฐานะ "มืออาชีพ" หลังจากเป็นเพียงแค่
"ลูกจ้าง" คนหนึ่งของ TFB และแบร์ริ่ง รีเสิร์ช เขาสามารถทำให้ บล.แอสเซท
พลัส กลายเป็นบริษัทชั้นนำในปัจจุบัน
ว่ากันว่าแต่ละครั้งที่ ดร.ก้องเกียรติ ตัดสินใจเข้าไปทำงานให้ลูกค้า จะเน้นเฉพาะ
ดีลขนาดใหญ่เท่านั้น ประเภท "เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำ" และทำแล้วต้องได้ทั้งเงินและกล่อง
สำหรับธุรกิจค้าหลักทรัพย์ ดร.ก้องเกียรติก็เป็นคนแรกที่ประกาศว่าบริษัทหลักทรัพย์ของเขา
จะไม่มีห้องค้าให้นักลงทุนรายย่อย แนวคิดของเขาคือใช้โทรศัพท์อย่างเดียว
ด้วยความเชื่อที่ว่าลูกค้าที่มีคุณภาพส่วนใหญ่ จะไม่มานั่งเฝ้ากระดานหุ้น
"พวกที่มาผมมอง ว่า มีเป้าหมายเพื่อสังสรรค์หรือรวมกลุ่มนั่งจิบ กาแฟหรือเทรดเพื่อความสนุกสนาน"
ดังนั้น ลูกค้าประเภทนี้จึงไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของบล.แอสเซท พลัส "และลูกค้าประเภทนี้
ไม่ค่อยเชื่อฟังนักวิเคราะห์ ปัจจุบันเราจึงมี แต่ลูกค้าสถาบัน มีการศึกษา
และเชื่อนักวิเคราะห์ด้วย"
จากบุคลิกดังกล่าวของเขาบ่งบอกว่า ดร.ก้องเกียรติเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง
ประกอบกับความทะเยอทะยานในการเป็น "เถ้าแก่" อันแรงกล้า เขาจึงมุ่งมั่นว่าสักวันหนึ่งจะต้องเป็นนายของตัวเองให้ได้
โดยเนื้อ แท้เขามาจากครอบครัวนักธุรกิจ ภาพลักษณ์ ที่ผ่านมาของ ดร.ก้องเกียรติจึงเข้าขั้น
"บ้างาน" ซึ่งคนในวงการการเงินเมืองไทยให้คำจำกัดความในตัวเขาว่า "งาน
คือ ชีวิต"