เป็นหนังสือที่ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มสำคัญ 15 ประการที่มีผล กระทบต่ออนาคตของธุรกิจ
แนวโน้มบางประการมีความเกี่ยวเนื่อง ถึงกัน แต่รวมแล้วก็นับเป็นแผนที่ธุรกิจฉบับบังคับอ่านที่ผู้จัดการ
และผู้ประกอบการธุรกิจควรใช้เป็นยุทธศาสตร์ในการกำหนดแผน และเตรียมการทางการตลาดในปีหน้าและต่อๆ
ไป อีกทั้งหนังสือ เล่มนี้เต็มไปด้วยข้อมูลที่มีประโยชน์ จึงอาจเป็นคู่มือตรวจสอบ
ทิศทางธุรกิจที่เพิ่งผ่านไปและปูทางสู่อนาคต
แนวโน้ม 15 ประการ
1. ชาวอเมริกันมีเวลาเป็นของตัวเองน้อยลงทุกที พวกเขา คิดกันว่างานที่หนักขึ้นทำให้มีเวลาน้อยลงสำหรับครอบครัว
การพักผ่อน การกีฬา อ่านหนังสือ ดูทีวี เดินซื้อของ และแม้แต่ การนอน ผู้บริโภคจึงต้องการสินค้าและบริการที่ช่วยประหยัดเวลา
มากที่สุด
2. ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างกว้างขึ้นทุกขณะ สัดส่วนระหว่างคนรวยกับคนจนในอเมริกานั้นเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าตัว
นับตั้งแต่ปี 1977 ธุรกิจบริการให้กับพวกที่มั่งคั่งร่ำรวยจึงยังเป็นที่
ต้องการอีกมาก
3. การเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะมีส่วนสร้าง ชื่อเสียงให้กับองค์กร
การสนับสนุนกิจกรรมสำหรับเด็ก และการให้ ทุนการศึกษาเป็นการสร้างความเชื่อถือต่อสาธารณะ
"เมื่อใด ที่ลูกค้าเชื่อว่าคุณแคร์ผู้อื่น พวกเขาก็จะแคร์คุณเหมือนกัน"
4. อินเทอร์เน็ตจะเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ต่อไปคนที่ ไม่รู้จักใช้อินเทอร์เน็ตอาจถูกเรียกว่าเป็นพวกไม่รู้หนังสือ
เพราะอินเทอร์เน็ตจะเข้ามามีส่วนในการให้บริการการสั่งซื้อสินค้าแบบ เป็นส่วนตัวมากขึ้น
วิดีโอแนะนำสินค้าแบบออนไลน์จะมีผลกระทบ อย่างมากต่อการจำหน่ายสินค้าและบริการ
5. บริษัทอเมริกันไม่อาจเรียกร้องความภักดีต่อองค์กรจาก พนักงานได้อีก
วิธีที่จะได้มาคือซื้อเอา หลังจากที่มีการลดขนาด กิจการธุรกิจอย่างขนานใหญ่
ทำให้ความมั่นคงในอาชีพการงาน สั่นคลอน พนักงานจึงไม่อาจคาดหวังที่จะประกอบอาชีพการงานใน
บริษัทแห่งใดแห่งหนึ่งไปชั่วชีวิต การที่องค์กรใดต้องการให้พนักงาน มีความภักดีต่อองค์กรจึงต้องใช้วิธีการเพิ่มค่าตอบแทน
ให้การสนับ สนุนความก้าวหน้าในอาชีพ และให้การยอมรับเป็นพิเศษ รวมทั้ง ต้องรู้จักแสดงความขอบคุณต่อพนักงานด้วย
6. ผู้บริโภคมักลังเลที่จะซื้อหาสินค้าในราคาเต็ม หลายคน เฝ้ารอช่วงลดราคาสินค้า
ห้างประเภทที่เน้นการลดราคาจึงได้รับ ความนิยมอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม การใช้กลยุทธ์การขายที่มี
ประสิทธิภาพและให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าจะช่วยให้ผู้ค้าปลีกชนะใจ ลูกค้าได้มากกว่าห้างที่เน้นการลดราคา
7. ชาวอเมริกันมีแนวโน้มใส่ใจกับพ่อแม่ผู้สูงวัย คนอายุเกิน ร้อยปีจะมีจำนวนราว
101,000 คน ในปี 2005 ผู้บริโภคจึงมีแนวโน้ม ที่จะใส่ใจกับพ่อแม่ของตนมากขึ้น
หลายคนต้องประหยัดเงินที่มีอยู่ ตอนนี้เพื่อใช้จ่ายในภายหลัง
8. พวกเศรษฐี "กระดาษ" จะมีมากเป็นดอกเห็ด บรรดานัก ลงทุนในตลาดหุ้นครึ่งหนึ่งจะเป็นพวกเก็งกำไรและใช้จ่ายเงิน
แต่อีกครึ่งหนึ่งจะนำเงินไปลงทุนหมุนเวียนต่อ พวกใช้เงินจะนิยม รถหรูคันโต
ชอบการท่องเที่ยว และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ภายในบ้าน บริษัทที่ขายสินค้าฟุ่มเฟือยควรเล็งช่องทางการทำ
โฆษณาในสื่อประเภทการเงินให้มาก
9. ครอบครัวที่หาเงินทั้งสามีและภรรยาจะน้อยลง และครอบครัวที่มีคนหารายได้เพียงคนเดียวจะมีมากขึ้น
ทั้งนี้เพราะพ่อแม่รุ่นใหม่ที่มีรายได้มากพอจะให้ใครสักคนลาออกจากงานมา ดูแลครอบครัว
กระแสความห่วงใยครอบครัวกำลังมาแรง
10. แบบแผนการซื้อสินค้าซ้ำๆ เพื่อสะสมคะแนนชิงรางวัล จะเป็นที่นิยมมากขึ้น
63% ของครัวเรือนอเมริกันเข้าร่วมในการ ส่งเสริมการขายประเภทสะสมคะแนนและชิงรางวัล
การส่งเสริม การขายประเภทนี้มีต้นทุนเพียงแค่ราว 1% ของรายได้ของบริษัท เท่านั้น
หากทำได้ควรจัดทำแผนประเภทนี้บ้าง
11. ผู้บริโภคยุคใหม่นิยมสินค้าแบรนด์เนมมากขึ้น เพราะสินค้ากลุ่มนี้มีคุณภาพเชื่อถือได้
ผู้บริโภคที่มีสตางค์จึงรู้สึกอุ่นใจกว่า เมื่อซื้อหาสินค้าไว้ อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาในการเลือกซื้อด้วย
12. การเสี่ยงโชค เกมพนัน ลอตเตอรี่เป็นสิ่งที่คนอเมริกัน ส่วนใหญ่คลั่งไคล้
ปี 1998 มีผลสำรวจระบุว่าชาวอเมริกันใช้เงินใน การเสี่ยงโชคทำนองนี้มากกว่าการใช้จ่ายเพื่อดูหนัง
ซื้อหนังสือและซื้อสินค้าของชำเข้าบ้านรวมกัน บริษัทที่คิดเกมเด็ดๆ ได้ย่อมมี
โอกาสช่วงชิงตลาดได้
13. คนยุคนี้มักรู้สึกว่าไม่มีใครใส่ใจ ผู้คนกำลังเคร่งเครียด กับการทำงานหนักจนไม่มีเวลาเหลือแต่เงินรายได้กลับน้อยลง
ธุรกิจประเภทบริการ จะได้ประโยชน์จากจุดนี้เพราะสามารถทำให้ ลูกค้ารู้สึกว่าตนมีความสำคัญและมีคนใส่ใจ
14. การทำงานอยู่กับบ้านจะแพร่หลายมากขึ้นในอเมริกา การทำงานอยู่กับบ้านมีแนวโน้มเกิดมากขึ้น
เพราะบริษัทได้ ประโยชน์จากการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพนักงาน ส่วนพนักงาน
ก็มีเวลามากขึ้น ไม่ต้องไปจ้างคนเลี้ยงเด็ก และไม่ต้องสิ้นเปลือง ค่าเดินทาง
15. การทำตลาดในยุคนี้ยังไล่ไม่ทันกับความต้องการที่ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดของผู้บริโภค
ยุทธศาสตร์การตลาดแบบเดิม มักจำกัดอยู่ที่การสร้างความสำเร็จและมีการลอกเลียนแบบกันและกัน
แต่ในยุคที่ผู้บริโภคเปลี่ยนความต้องการอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์ การตลาดต้องปรับให้ทันสมัยสอดคล้องกันด้วย
ผลงานของบีเมอร์เล่มนี้เป็นงานศึกษาแบบแผนผู้บริโภคและธุรกิจยาวนานถึง 20
ปี มีการสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคและ ผู้ประกอบธุรกิจถึงราว 4 ล้านราย
จึงเหมาะกับผู้บริหารองค์กร ทุกแขนงและทุกขนาด