Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2544








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2544
เรื่องของแม่ชีกับอัลไซเมอร์             
โดย ธีรภาพ วัฒนวิจารณ์
 





ธีรภาพ วัฒนวิจารณ์ เป็นนามแฝงของนักวิชาการในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งนอกเหนือจากความเชี่ยวชาญในงานประจำด้านจิตเวชและจิตวิทยาแล้ว ยังมีความสนใจ ด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เขาจะเสนอมุมมองและสาระ ความรู้ที่น่าสนใจในคอลัมน์ "จากฝั่งพรานนก"

หากยังจำกันได้ ผมเคยเขียนถึงการศึกษาชิ้นหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา งานศึกษาชิ้นนี้ทำกับแม่ชีในคอนแวนต์ ซึ่งแน่นอนว่าล้วนแต่เป็นแม่ชีสูงวัย มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ ในครั้งนั้นผลการศึกษาออกมาเพียงว่า แม่ชีที่ใช้ชีวิตในลักษณะที่มีการบริหารความคิด หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ ยังคงมีกิจกรรมทางสังคมและส่วนตัวที่ได้ใช้สมองในการ ขบคิดแก้ไขปัญหา แม่ชีกลุ่มนี้มีโอกาสป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าแม่ชีในวัยเดียวกัน (ซึ่งอาศัยอยู่ในคอนแวนต์นั้นด้วยกัน) บทเรียนจากการศึกษานี้คือ แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบสาเหตุ หรือการถ่ายทอดทางพันธุกรรมอย่างไรที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ แต่เราเริ่มทราบวิธีในการชะลอปัญหาความจำเสื่อมนี้ให้ ช้าลง

ในนิตยสารไทม์ฉบับประมาณเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมาได้รายงานส่วนแรกของผลการศึกษาชิ้นนี้ ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจ จึงได้เรียบเรียงมาเล่าสู่กันฟังดังนี้

การศึกษานี้ดำเนินโครงการโดยทีม นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคนตั๊กกี้ ซึ่งนำทีมโดยนายสโนว์ดอร์น ทีมนักวิจัยได้ทำการศึกษาในแม่ชีสูงวัยจำนวนเกือบ 700 คนในนอตเตอร์แดรม คอน แวนต์ มินเนโซตา สโนว์ดอร์นและเพื่อนร่วมงานเลือกชุมชนแม่ชีแห่งนี้ในการ ศึกษา เพราะเชื่อว่าปัจจัยเรื่องของอาหาร การกินไม่น่าจะต่างกัน รวมทั้งกิจวัตรประจำวันโดยส่วนใหญ่ควรจะเหมือนกัน

วิธีการเก็บข้อมูลของงานวิจัยนี้ที่น่าสนใจ คือ การศึกษาจากบันทึกก่อนบวชของแม่ชี ซึ่งทุกคนจะเขียนบรรยาย ถึงอารมณ์ความรู้สึกของตนในการตัด สินใจบวชบันทึกก่อนบวชเหล่านี้ไม่ได้ให้ข้อมูลเพียงแค่ลักษณะอารมณ์ของผู้เขียน หรือทัศนะการมองโลกแต่เพียงอย่างเดียว แต่บันทึกเหล่านี้ซึ่งแม่ชีทุกคนต้องเขียนนั้น ประกอบไปด้วย รายละเอียดข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับความเป็นอยู่ในวัยเด็ก ครอบครัว และเหตุผลในการบวช ซึ่งสโนว์ ดอร์น สามารถใช้มันในการประเมินความสามารถ ทางด้านความรู้ความเข้าใจ (cognitive ability) ของ เหล่าแม่ชีในช่วงวัยรุ่น และเปรียบเทียบกับการเกิดอัลไซเมอร์ในปัจจุบัน

ข้อสรุปที่ได้จากการศึกษาบันทึกเหล่านี้คือพื้นฐานการศึกษามีส่วนสำคัญในการช่วยลดความ เสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ นั่นคือ คนที่มีการศึกษาสูง จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดีกว่า และมีความเสี่ยงน้อยกว่า

นอกจากนี้ยังพบว่า ลักษณะการแสดงออก ของคนเราสามารถใช้เป็นตัวคาดการณ์ถึงโอกาสที่ จะป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ในอนาคตได้ สโนว์ดอร์น พบว่าแม่ชีที่เขียนบรรยายเนื้อหาในลักษณะอารมณ์ ด้านบวก (มองโลกในด้านดี) มีโอกาสป่วยเป็น อัลไซเมอร์น้อยกว่าแม่ชี ที่แสดงออกในทางตรงกัน ข้าม อาจจะฟังดูไม่ตื่นเต้นนัก หากเราไม่ทราบว่าบันทึกก่อนบวชเหล่านี้ แม่ชีทุกคนในโครงการศึกษา นี้เขียนขึ้นเมื่อ 60-70 ปีที่แล้ว

สิ่งที่น่าสนใจประการต่อมาของการศึกษานี้คือ สโนว์ดอร์นและทีมงานได้ศึกษาลงไปในราย ละเอียดของวิธีการใช้คำ และไวยากรณ์ในการเขียน เรียงความของแม่ชีแต่ละคน เขาแปรความสามารถ เหล่านี้ออกมาเป็นคะแนนเพื่อเปรียบเทียบกันโดยทีมผู้วิจัยพบว่า แม่ชีที่ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์จะมีความสามารถในการเลือกใช้ถ้อยคำ และไวยากรณ์ ด้อยกว่าแม่ชีที่ยังคงมีความจำดี นั่นคือคะแนนที่ได้จะต่ำกว่ากัน และที่จริงแล้วความสามารถใน การใช้ภาษาและไวยากรณ์ดังกล่าวนี้ไม่ได้เสียหรือต่ำเพราะเป็นอัลไซเมอร์ แต่ผู้ วิจัยพบว่าบุคคลที่ป่วยเป็น อัลไซเมอร์ มีคะแนนความสามารถทางด้านภาษาและไวยากรณ์ต่ำมาตั้งแต่ช่วงวัยหนุ่มสาวแล้ว

ผู้วิจัยสามารถอ่านบันทึกก่อนบวช แล้วให้การวินิจฉัยได้ว่าแม่ชีคนนั้นในปัจจุบันมีอาการของโรคอัลไซเมอร์หรือไม่ โอกาสถูกต้องของการประเมิน คือ 85-90% และอย่าลืมว่า นี่เป็นการอ่านบันทึกของคนในวัยยี่สิบปี เพื่อประเมินว่าบุคคลนั้นจะป่วยเป็นอัลไซเมอร์

แต่ปัญหาที่ผู้วิจัยยังตอบไม่ได้คือ ความสามารถ ด้านภาษาและไวยากรณ์ที่สูงกว่าเป็นปัจจัยป้องกันการ ป่วยในอนาคตหรือความสามารถที่ต่ำกว่าชี้ให้เห็นว่า บุคคลผู้นั้นเริ่มป่วยตั้งแต่อายุ 20 ปีและอาการเพิ่งจะมาแสดงออกอย่างชัดเจนในช่วงวัยชรา พูดง่ายๆ คือ ปัญหาไก่กับไข่ที่เรายังตอบไม่ได้

อีกประเด็นหนึ่งที่การศึกษานี้สนับสนุนความเชื่อ ที่เรามีกันอยู่เดิม คือ การทำงาน หรือการบริหารสมอง โดยกิจกรรมการคิด (mental exercise) จะช่วยให้เซลล์ สมองแข็งแรง และเสื่อมช้าลง

สิ่งที่น่าทึ่งของการศึกษานี้อีกประการหนึ่ง คือ แม่ชีที่เข้าร่วมการศึกษานี้กว่า 60% ยินยอมให้ผู้วิจัยผ่าตัดตรวจเนื้อสมองของพวกเธอหลังจากถึงแก่กรรม และจากการศึกษาเนื้อสมองของแม่ชีที่ถึงแก่กรรม พวกเขาพบว่า ในบรรดาเนื้อสมองที่พบเซลล์และแพลค (plaque) ที่บ่งถึงการเกิดอัลไซเมอร์ แม่ชีที่มีเส้นเลือดอุดตันในสมองร่วมด้วยเกือบทุกราย มีอาการของอัลไซเมอร์ร่วมด้วยในขณะที่กว่าครึ่งของแม่ชีที่เนื้อสมองไม่มีร่องรอยของการอุดตันเส้นเลือด ไม่มีอาการของอัลไซเมอร์แม้ว่าจะมีแพลค (ซึ่งบ่งถึงพยาธิสภาพของอัลไซเมอร์)

สิ่งนี้บ่งว่าหากสมองเริ่มผิดปกติและเกิดอัลไซเมอร์ขึ้น การได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ หรือภาวะเส้นเลือดสมองอุดตันจะทำให้การดำเนินโรคเร็วขึ้น จนอาการสมองเสื่อมปรากฏให้เห็นนัยของผลนี้บอกกับเราว่า ในกิจกรรมทั่วไปการป้องกันอุบัติเหตุ ที่ศีรษะเป็นเรื่องจำเป็น และสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะ เป็นการใช้หมวกกันน็อกขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ หรือเล่นกีฬาบางชนิด การใช้เข็มขัดนิรภัย หรือ ถุงลมนิรภัยในการขับรถยนต์

ในอีกด้านหนึ่งการระมัดระวัง ในเรื่องของสุขภาพ ไม่ทานอาหารไขมันสูง งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นเส้น เลือดสมองอุดตัน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยง ทำให้การดำเนินโรคของอัลไซเมอร์เร็วขึ้น

ประการสุดท้าย ที่งานวิจัยชิ้นนี้ บอกกับเรา คือเรื่องของอาหารเสริมทั้งหลาย สำหรับสารโฟเลต นั้น สโนว์ดอร์นพบว่ามีส่วนทางอ้อมโดยการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตัน ส่วนแอนตี้อ็อกซิเดนท์ ที่หลายคนพูดกันนักหนา ว่า วิตามินอี และวิตามินซี สามารถป้องกันอนุมูลอิสระ ที่จะมีผลทำลายเซลล์สมอง งานวิจัยนี้ยัง ไม่สามารถชี้ให้เห็นว่าวิตามินทั้งสองตัวมีบทบาทในการป้องกัน การเกิดอัลไซเมอร์

งานวิจัยนี้ยังคงทำต่อเนื่องไปหลังจากที่ได้ดำเนินมาเป็นเวลาสิบปีเศษ และสโนว์ดอร์นกับทีม กำลังจะศึกษาสมองของบรรดาแม่ชีที่ยังคงมีชีวิตอยู่ด้วยการใช้เครื่อง MRI (Magnetic resonance imaging) ความรู้ใหม่ๆ ที่ได้จากการศึกษานี้จะช่วยให้เราเข้าใจถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค อัลไซเมอร์ และวิธีป้องกันแต่สิ่งที่นักสาธารณสุขใน อเมริกากำลังกังวลมากเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ คือในปัจจุบันกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัลไซเมอร์คือ คนที่เกิดในยุคเบบี้บูมคือ ช่วงทศวรรษที่ 60 คนกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นยุคที่ประชากรอเมริกันเกิดมากที่สุด กำลังล่วงเข้าสู่วัยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ดังนั้นเวลาที่ผ่านไปในแต่ละปีบ่งถึงความเสี่ยงที่มากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญคือ นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีความเป็นไปได้ที่อัลไซเมอร์จะเกิดเร็วขึ้นในเจนเนอเรชั่นปัจจุบัน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us