แม้ว่าธุรกิจ dot com จะตกอยู่ในภาวะที่ซบเซา กระทั่งหลายฝ่ายวิพากษ์ว่าได้เป็นธุรกิจ
dot gone ไปแล้ว โดยมีปัจจัยบ่งชี้หลากหลาย ทั้งในส่วนของผลประกอบการและดัชนี
NASDAQ ที่ทรุด ต่ำลงอย่างต่อเนื่องก็ตาม
ในรายงานผลการวิจัยชื่อ "Venture Capital and the Professionalization of
Start-up Firms" พวกเขาพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับบทบาทของ venture capital โดยการศึกษาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงในโลกธุรกิจปัจจุบัน
ประเด็นเหล่านี้มีความน่าสนใจก็เพราะ ในอดีตนั้น สถาบันการเงินหรือผู้ลงทุนซึ่งเป็นเจ้าของเม็ดเงินนั้น
จะให้ความสนใจต่อพฤติ-กรรมทางการเงินในฐานะที่เป็นดัชนีบ่งชี้ความ สามารถของบริษัท
โดยไม่คำนึงถึงการพัฒนา ทรัพยากรบุคคลมากนัก
แต่ในรายงานของ Puri ชี้ว่า "ผู้คนใน Silicon Valley คิดว่าการเข้ามามีส่วนร่วมของ
venture capital แตกต่างไปจากรูปแบบการลงทุนดั้งเดิม เพราะพวกเขาเข้ามามีส่วนสนับ
สนุนมากกว่าปัจจัยทางการเงิน" กระนั้นก็ดี Puri ซึ่งดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์
ด้านการเงิน ยังไม่สามารถหาหลักฐานที่เป็นระบบ มาอธิบายได้ว่าบทบาทที่กล่าวถึงนี้คือสิ่งใด
ในการวิจัยครั้งนี้ Hellmann และ Puri เริ่มด้วยการสำรวจว่า ใครคือผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่ง
CEO ในบริษัทเกิดใหม่เหล่านี้ ระหว่างผู้ก่อตั้งบริษัท หรือผู้บริหารมืออาชีพที่ได้รับการว่าจ้างมาจากแหล่งอื่น
ซึ่งจากจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่พวกเขาทำการศึกษาพบว่า เมื่อบริษัทรับเงินลงทุนจาก
venture แล้ว ผู้ก่อตั้งบริษัทมีแนวโน้มที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่งบริหาร ในเวลาอันรวดเร็วกว่าบริษัททั่วไป
โดยตำแหน่งบริหารนี้จะถูกแทนที่ด้วยมืออาชีพที่เจ้าของเงินลงทุนมั่นใจมากกว่า
การวิจัยยังชี้ให้เห็นด้วยว่า บริษัทซึ่งมี venture capital ให้การสนับสนุนมีแนวโน้มที่จะจ้างงานในตำแหน่งรองประธานบริหารดูแล
เรื่องการขายและการตลาด รวดเร็วกว่าบริษัท ตั้งใหม่โดยทั่วไป เพราะตำแหน่งดังกล่าวมีฐานะสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการพาณิชยกรรมให้เกิดขึ้น
ซึ่งจะเป็นการก่อให้เกิดรายได้ขึ้นในบริษัท
Hellmann และ Puri พยายามที่จะศึกษา รูปแบบและพฤติกรรมของ venture capital
ว่า เป็นไปในลักษณะที่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานะของบริษัทเกิดใหม่หรือไม่อย่างไร
ซึ่งพบว่า หากเป็นบริษัทเกิดใหม่ที่ยังไม่มีสัญญาณแห่งความสำเร็จใดๆ ในระยะใกล้แล้ว
venture capital มีบทบาทอย่างสำคัญในการสรรหาและชักชวนบุคคลให้มาดำรงตำแหน่ง
CEO แต่เมื่อบริษัทเริ่มมีผลิตภัณฑ์ ความสำคัญของ venture capital ในส่วนนี้จะลดลง
กระทั่งเกือบ จะไม่มีความสำคัญอีกเลย เมื่อบริษัทได้เปลี่ยน ไปสู่การเป็นบริษัทมหาชน
ด้วยเหตุที่ข้อมูลเกี่ยวกับ venture capital มีอยู่อย่างจำกัด แหล่งข้อมูลที่
Hell-mann และ Puri ใช้ในการศึกษาครั้งนี้จำนวนหนึ่งจึงเป็นฐานข้อมูลที่
Stanford Project on Emerging Companies : SPEC ได้พัฒนาขึ้นมาในช่วง 5-6
ปีที่ผ่านมา
Hellmann ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ด้านการบริหารเชิงกลยุทธ์ ซึ่งร่วมทำการวิจัยระบุว่า
"ข้อได้เปรียบจากการใช้ฐานข้อมูลเหล่านี้อยู่ที่ โอกาสที่เราจะได้พิจารณาบทบาทของ
venture capital ในมิติที่กว้างขวาง จากกลุ่มตัวอย่างที่มีมากกว่า 173 แห่งใน
Silicon Valley รวมถึงประวัติทางการเงินของบริษัทเหล่านี้ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ"
ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้ จะพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือวิชาการที่เรียก
ขานกันในแวดวงว่า "the theory of the firm" ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ Hellmann
และ Puri ได้รับทุนจาก National Science Foundation ให้ทำการศึกษาวิจัยอีก
2 กรณี โดยจะศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบจาก venture capital และการศึกษาความแตกต่างระหว่างบริษัทที่มีธนาคารเป็นผู้ให้การสนับสนุนกับบริษัทที่มี
venture capital อิสระหนุนหลังด้วย
แต่นั่นย่อมไม่ใช่ทัศนะที่ตรงกับความคิดเห็นของ Andrew S. Grove ประธานและผู้ร่วมก่อตั้ง
Intel Corporation ซึ่งได้รับเชิญไปบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ
มหาวิทยาลัย Stanford เมื่อไม่นานมานี้
ในปาฐกถาพิเศษครั้งนี้ Grove ชี้ว่าธุรกิจ dot com ยังไม่ตายและการเติบโตที่แท้
จริงของ e-commerce เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น "หากเปรียบเทียบความสามารถของธุรกิจเป็น
100 หน่วย เราอยู่ในตำแหน่งที่ 10 ของอุตสาหกรรมนี้เท่านั้น" โดยปัญหาส่วนหนึ่งก็คือขณะที่การลงทุนที่จำเป็นกว่า
25% ได้เกิดขึ้นแล้วนั้น มีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์ได้ในปัจจุบัน
ภายใต้การบรรยายในหัวข้อ "The Long View : Understanding High-Tech's Problems
and Promise" ที่จัดโดย Business School's Center for Entrepreneurial Studies
มหาวิทยา ลัย Stanford ในครั้งนี้ Grove ซึ่งสวมเสื้อแจ็กเก็ตหนังสีดำแต่ดูภูมิฐาน
ได้ตอบข้อซักถามมากมายโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับธุรกิจบนโลก อินเทอร์เน็ต และได้แสดงให้เห็นถึงไหวพริบปฏิภาณที่รวดเร็ว
อันเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาไปแล้วให้ได้ประจักษ์อีกครั้ง
Grove กล่าวในช่วงหนึ่งว่า รูปแบบการ ให้บริการลูกค้าที่ Amazon.com ดำเนินอยู่ในวันนี้
จะกลายเป็นแบบแผนปฏิบัติสำหรับบริษัท ทั่วไปในอนาคต โดยเฉพาะในส่วนของการให้บริการที่มีรูปแบบเฉพาะส่วนบุคคล
"สิ่งที่ Amazon ได้กระทำก็คือการนำเอาสำนึกตระหนักและความคุ้นเคยที่ลูกค้ามีต่อร้านค้าทั่วไปในอดีตกลับมาอีกครั้ง
โดยอาศัยคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการนำเอาข้อมูล ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าริมทางเคยมีมาใช้ให้เป็นประโยชน์และมีชีวิตชีวา"
และ Grove ยังกล่าวชื่นชมความสำเร็จของ Amazon.com ที่สามารถสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักทั่วโลกภายในระยะเวลาอันสั้นอีกด้วย
นอกเหนือจากการกล่าวถึง ความเปลี่ยนแปลงที่บริษัทต่างๆ พยายามปฏิสัมพันธ์
กับลูกค้าแล้ว Grove ได้ชี้ให้เห็นว่า Internet ยังมีศักยภาพอย่างมากต่อการปรับเปลี่ยนการ
บริหารวงจรอุปสงค์อุปทาน (supplychain) ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ
internet ในส่วนนี้เพื่อลดทอนต้นทุนได้อย่างจริงจัง
"ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผู้ประกอบการยังให้ความสำคัญต่อประดิษฐกรรมที่ไม่จำเป็น
ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยพื้นฐานในความไม่มีประสิทธิผลของการบริหารจัดการ supply
chain"
แม้ว่า Grove จะกล่าวถึงอนาคตของธุรกิจ dot com ในแง่ดีเป็นด้านหลัก แต่เขาก็ยอมรับว่ามีความเป็นไปไม่น้อยที่จะเกิดภาวะ
ซบเซา ยิ่งไปกว่านั้นข้อเท็จจริงที่เขาได้ลงทุนเป็นการส่วนตัวทั้งใน Amazon.com
และ Webvan โดยที่ Webvan นั้นอยู่ในภาวะที่เกือบ จะล้มละลายและถูกปลดออกจากตลาด
NASDAQ ก็เป็นประจักษ์พยานในอีกด้านหนึ่งของเหรียญว่าด้วยอนาคตของธุรกิจ
dot com นี้อย่างเด่นชัดเช่นกัน