บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต นับเป็นองค์กรอีกแห่งหนึ่งที่ให้ ความสำคัญกับการนำระบบไอทีมาใช้ตลอดเวลาหลายสิบปีมานี้
จุดเริ่มต้นของการวางระบบไอทีของบริษัทเมืองไทยประกัน ชีวิต เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี
2517 เวลานั้นยังเป็นการเช่าเครื่อง IBM System 3 มาจากบริษัทล็อกซเล่ย์
เพื่อนำมาใช้งานด้านประกันชีวิต การออกใบเตือนครบกำหนดชำระเบี้ยประกัน และพิมพ์ใบเสร็จ
จนในปี 2524 มีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง เมืองไทย ประกันชีวิตเหมือนกับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่อื่นๆ
ที่ใช้วิธีการพัฒนาโปรแกรมขึ้นเอง และมีการขยายผลการใช้ไอทีไปยังระบบงานอื่นๆ
เช่น ตัวแทนนำส่งเบี้ยประกันไปที่ฝ่ายการเงินไปจนถึงการพิจารณารับประกัน
การออนไลน์ข้อมูลระหว่างสาขาและสำนักงานใหญ่เริ่มขึ้น ในปี 2532 เป็นการออนไลน์ในลักษณะของ
real-time เหมือนกับเครื่องเอทีเอ็มของธนาคาร ผลก็คือ ลูกค้าจะใช้บริการที่สำนักงาน
สาขาได้เหมือนกับสำนักงานใหญ่
ถัดมา 6 ปี คือ ในปี 2538 ได้มีการทำ Re-engineering ระบบงานของบริษัท
และผลจากการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ในปี 2540 เมืองไทยประกันชีวิต ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่การนำ
เอาระบบซอฟต์แวร์จากภายนอก แทนที่จะพัฒนาเองมาใช้งานเพื่อให้มีความเป็นมาตรฐานมากขึ้น
และนับเป็นปีที่มีการเปลี่ยน แปลงระบบงานไอทีมากที่สุดอีกปีหนึ่ง เว็บไซต์
muangthai.co.th ของเมืองไทยประกันชีวิต ก็ทำขึ้นในปีนี้ เป็นการให้ข้อมูลทั่วไป
หลังจากนำไอทีสร้างความพร้อมให้กับระบบ back office การใช้ไอทีในการสนับสนุนของฝ่ายการตลาดเริ่มขึ้นในปี
2543 เริ่ม จากการนำระบบ VPN (Virtual Private Networking) มาใช้ทดแทน ระบบออนไลน์แบบเดิม
เพื่อลดค่าใช้จ่ายลง และเป็นจุดเริ่มต้นของ โครงการ Mr.Smart ที่ร่วมกับบริษัทพอยต์เอเซีย
จุดเริ่มต้นของโครงการ "Mr.Smart" มาจากการวางราก ฐานระบบไอทีของเมืองไทยประกันชีวิต
เมื่อข้อมูลที่เกี่ยวกับระบบ งานทั้งหมดที่ส่งผ่านจากฝ่ายต่างๆ ถูกส่งเข้ามาเก็บไว้ที่เครื่อง
IBM AS/400 เป็นระบบหลักในการรองรับระบบงานหลักๆ รวมทั้งระบบ ฐานข้อมูล ในขณะที่เครื่อง
IBM AS/400 จะรองรับการทำงานของโปรแกรมโลตัส โดมิโน ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดส่งข้อมูลในรูปของ
mail ไปให้กับผู้ใช้เครื่องพีดีเอ ที่จะต้องเข้ามา update ข้อมูลกับฐานข้อมูลของบริษัทตลอดเวลา
มินิ-คอมพิวเตอร์ทั้ง 2 เครื่องจะทำงาน คู่ขนานกัน เมื่อข้อมูลจากฝ่ายต่างๆ
ของบริษัทถูกส่งเข้ามาในระบบ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งไปยังมินิคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
เพื่อส่งข้อมูลไป ให้กับตัวแทนขายประกันชีวิตที่มีเครื่องพีดีเออยู่ในมือ
ที่จะต้องมา update ข้อมูลของตัวเอง
ในปีนี้ โครงการ MT-e business ก็เริ่มขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้าง Data
warehouse ที่รวบรวมฐานข้อมูลหลักๆ ทั้งหมด เช่น Financial System, Investment
systems, Group Life Insurance Systems มาไว้ที่เครื่องแม่ข่ายหลัก เพื่อเป็น
Data warehouse
จากนั้นข้อมูล Data warehouse ไปใช้ในด้านของลูกค้า ตัวแทน และด้านระบบงานภายใน
Smart, Laptop, Knowledge, Management, Document WolkFlow, Messaging, Decision
Support System ซึ่งเท่ากับเป็นการใช้ประโยชน์จากทั้ง 3 ส่วนหลักๆ ที่สำคัญ
และนี่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการนำไอทีมาใช้กับองค์กร ธุรกิจประกันชีวิต
ที่กำลังต้องเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันที่กำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะ และอย่างที่สาระกล่าวไว้
"ไอทีไม่มีภาพตอนจบ เมื่อธุรกิจยังต้องเดินหน้าต่อไป"