ตามแผนเดิม สถาพร กวิตานนท์จะต้องอยู่รับราชการไปจนเกษียณอายุในตำแหน่งเลขาธิการบีโอไอ
ในวันที่ 30 กันยายนที่จะถึงนี้
แต่เขาตัดสินใจยื่นใบลาออกก่อนถึงวันเกษียณอายุเพียงไม่ถึง 3 เดือน โดยมีผลเมื่อวันที่
16 กรกฎาคม
บางคนวิเคราะห์ว่าการลาออกของเขา มีสาเหตุเพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับแนวทางการทำงานของรัฐบาลใหม่
ภายใต้การนำของพรรคไทยรักไทยได้ เพราะเป็นการลาออกหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลเพียงไม่กี่เดือน
แต่หลายคนก็เชื่อว่าเหตุผลที่แท้จริงคือ เขาต้องการจะออกไปใช้ชีวิตในช่วงนี้อย่างสงบสักระยะหนึ่ง
เพื่อทุ่มเทสมาธิในการเขียน หนังสือประวัติชีวิตตัวเอง ที่ได้ตั้งชื่อเรื่องไว้แล้วว่า
"ถนนที่เคยเดิน"
สถาพรรับราชการมาแล้วเป็นเวลาถึงกว่า 40 ปี เขานับเป็นข้าราชการคนหนึ่งที่มีชีวิตราชการค่อนข้างโลดโผน
เพราะต้องเข้า ไปสัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เข้ามาสู่ระบบราชการไทยอยู่
ตลอดเวลา
"ผู้จัดการ" เคยกล่าวถึงสถาพรไว้ว่าเขาถือเป็น Technocrat คนแรกๆ ของสังคมธุรกิจไทย
สถาพรมีพื้นเพเป็นคนนครสวรรค์ ถือเป็นคนต่างจังหวัดที่มีใจรักการเรียนรู้ตั้งแต่เด็ก
"ภาษาอังกฤษผมดีตั้งแต่เด็ก เพราะว่าผมชอบ ผมเรียนภาษา อังกฤษตั้งแต่ ม.1
แต่ผมเรียนส่วนตัวมาตั้งแต่ประถม 2 ที่นครสวรรค์ ผมได้ครูภาษาอังกฤษดีคนหนึ่ง
เพราะฉะนั้นพอ ม.1 เริ่มเรียนนี่ ความ รู้ภาษาอังกฤษผมเท่ากับมัธยม 3 ข้อสอบมัธยม
6 นี่ผมทำได้แล้ว" เขาสะท้อนให้เห็นความใฝ่รู้ที่มีติดตัวมาตั้งแต่ยังเรียนชั้นประถม
เขาเดินทางเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ หลังจบมัธยมปีที่ 6 (มัธยมศึกษาปีที่
3 ในระบบปัจจุบัน) จากนครสวรรค์ โดยครั้งแรกตั้งใจจะเข้ามาเรียนต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ตามทัศนคติของคนต่างจังหวัด ในยุคปี 2500 แต่เขาสอบไม่ผ่าน ซึ่งถือเป็น ความผิดหวังครั้งแรกของเขา
"ผมก็ว่าผมเรียนดี ใครๆ ก็ไม่เชื่อว่า ผม สอบไม่ได้ อาจเป็นเพราะเป็นเด็กบ้านนอก
เลยตื่นเต้นกับบรรยากาศ"
แต่การสอบเข้าเตรียมอุดมไม่ได้ กลับส่งผลดีให้กับสถาพร เพราะหลังจากนั้นเขาได้ตัดสินใจไปเรียนกวดวิชา
ซึ่งสามารถย่นระยะ เวลาให้เขาเรียนจบมัธยม 7 และ 8 ได้ภายในปีเดียว เร็วกว่าพรรคพวกในรุ่นเดียวกันที่สอบเข้าเตรียมอุดมได้ถึง
1 ปี
เขาตัดสินใจเข้าศึกษาต่อที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี
2501
"สมัยนั้น ทุกคนอยากจะไปเรียนวิศวะ เรียนแพทย์ อาจจะเป็น เพราะระบบการศึกษาของเรา
ที่เข้าใจว่าคนเก่งต้องเรียนวิทยาศาสตร์ ผมเป็นคนชอบคำนวณ แต่ลึกๆ เป็นคนไม่ชอบทางด้านวิทยาศาสตร์
ผมไม่ค่อยชอบอะไรที่ทำด้วยมือ ก็เลยอยู่เฉยๆ ไม่ได้ไปสอบจุฬาฯ พรรคพวกไปสอบจุฬากันได้บ้างตกบ้าง
แต่ผมอยู่เฉยๆ ชอบอ่านหนังสือพวกสังคมศาสตร์ ก็เลยเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์"
หลังจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ จากธรรมศาสตร์ เขาได้เข้า ไปเป็นลูกจ้างกรมบัญชีกลางอยู่ประมาณ
10 เดือน ก่อนที่จะย้ายมาอยู่สภาพัฒน์
ที่สภาพัฒน์ เขาทำงานได้เพียงปีเดียว ก็สามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์
ที่สหรัฐอเมริกา
ชีวิตราชการของสถาพร เริ่มพบกับความตื่นเต้น หลังจบปริญญาโท แล้วกลับเข้ามาทำงานที่สภาพัฒน์อีกครั้งในปี
2510
งานหลักชิ้นแรกที่เขาได้เข้าไปสัมผัสคือ ส่วนงานวางแผน เอกชน ซึ่งเป็นส่วนงานใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับภาค
เอกชนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังอยู่ระหว่างการก่อร่างสร้างตัวในยุคนั้น
และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาต้องเข้ามาคลุกคลีกับภาคเอกชน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอันสำคัญในภายหลัง
"ทุกวันนี้ ผมเจรจาต่อรองทางธุรกิจเป็น ผมคิดแบบนักธุรกิจ เป็น"
จากส่วนงานวางแผนเอกชน ต่อมาได้ถูกพัฒนารูปแบบขึ้นเป็น คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน
(กรอ.) ในปี 2524 สถาพรก็มีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นเลขานุการ กรอ.
ปี 2527 สถาพรถูกย้ายจากสภาพัฒน์ มาอยู่ที่สำนักงานคณะ กรรมการส่งเสริมการลงทุน
(บีโอไอ) ในฐานะรองเลขาธิการ และได้ขึ้นเป็นเลขาธิการในปี 2534
ตลอดชีวิตการรับราชการ นอกจากเขาจะได้มีโอกาสทำงานใกล้ชิดกับภาคเอกชนมากกว่าข้าราชการคนอื่นๆ
แล้ว งานราชการ ของสถาพรมักจะวนเวียนอยู่กับการเริ่มต้นสร้างสิ่งใหม่ๆ เข้าไปในระบบ
ที่สภาพัฒน์เขาอยู่กองวางแผนเอกชน ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น กรอ.
ย้ายมาบีโอไอ เขาอยู่ในช่วงข้อต่อของการลดค่าเงินบาทเมื่อ ปี 2527 เขามีส่วนในการเปลี่ยนนโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากผลิต
เพื่อทดแทนการนำเข้า มาเป็นการผลิตเพื่อส่งออก
หลังประเทศประสบวิกฤติจากการลอยตัวค่าเงินบาทอีกครั้งในปี 2540 เขาตัดสินใจประกาศนโยบายให้การส่งเสริมการลงทุนจาก
ต่างชาติที่ถือหุ้นเกินกว่า 50% เพื่อดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ
"ชีวิตราชการจริงๆ ไม่มีอะไร มันเป็นงานซึ่งมันไปเรื่อยๆ ทีนี้ เรื่องที่เราทำแล้วมันสนุก
มันเป็นราชการแบบใหม่ แนวใหม่"
นอกจากงานราชการ ซึ่งเป็นงานประจำแล้ว ชีวิตในส่วนที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานการเมืองของสถาพร
ก็มีสีสันไม่น้อยไปกว่ากัน
เขาเคยได้รับการเสนอชื่อเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในช่วงก่อนปี 2516
เคยเป็นหน้าห้องของสุนทร หงส์ลดารมภ์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี รัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
ปราโมช ในปี 2518
ในช่วงปลายรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เมื่อปี 2523 เขาได้เข้าเป็นรองโฆษกรัฐบาล
และมีส่วนร่วมอยู่ในการประกาศขึ้นราคาน้ำมันลิตรละ 3 บาท ซึ่งเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้
พล.อ.เกรียง ศักดิ์ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งต่อมาในภายหลัง
แต่บทบาทสำคัญที่สุดของเขา กลับโดดเด่นมากภายหลังการ ปฏิวัติของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ
ภายใต้การนำของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ และพล.อ.สุจินดา คราประยูร ในปี 2534
เพราะเขาได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นเลขานุการ นายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน
และอยู่ในบทบาทของตัวประสานงานระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายทหารอยู่เกือบ 2 ปี
ประสบการณ์เหล่านี้ ทำให้เขารู้ซึ้งถึงการวางตัวให้มีช่องห่างระหว่างการเป็นข้าราชการประจำกับนักการเมืองเป็นอย่างดี
"ผมไม่เคยกลัวการเมือง ผมไม่เคยประจบนักการเมือง และผมไม่เคยกลัวว่านักการเมืองจะมาปลดผม
หรือทำอะไรผม ไม่เคยกลัวเลย ผมคิดว่าถ้าเราทำในสิ่งที่มันถูกต้อง ใครก็ทานเราไม่ได้"
ก่อนยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการ บีโอไอ เขาเคยได้รับการเสนอชื่อจาก
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลัง ให้ไปเป็นประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ
ไทย แทนอมเรศ ศิลาอ่อนที่จะหมดวาระลงในสิ้นเดือนนี้แต่เขาปฏิเสธ
ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมากว่า 40 ปี ของเขา คงไม่ยากนักหากเขาคิดจะเดินเข้าไปอยู่ในองค์กรเอกชนใหญ่ๆ
ที่ใดก็ได้สักที่หนึ่ง
ซึ่งน่าเชื่อว่า ณ ขณะนี้ เขาอาจมีสถานที่อยู่ในใจแล้ว
("ผู้จัดการ" ปีที่ 17 ฉบับที่ 198 เดือนมีนาคม 2543)