The Leadership Pipeline เป็นหนังสือว่าด้วยกรอบการวาง แผนเพื่อช่วยให้องค์กรธุรกิจดึงเอาความสามารถของผู้บริหารทุกระดับออกมาสร้างความสำเร็จให้บริษัท
ทั้งนี้มีเนื้อหาที่ว่าด้วยภาวะผู้นำ 6 เรื่องด้วยกัน เหมาะสำหรับผู้บริหารตั้งแต่ระดับที่มีลูกน้องเพียงลำดับชั้นเดียวไปจนถึงผู้บริหารที่มีความรับผิดชอบในระดับสูง
ผู้เขียนได้เสนอให้ผู้บริหารทุกระดับชั้นพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อใช้ในการบริหารงานในหน้าที่รับผิดชอบของตน
จัดสรรเวลาให้สอดคล้องกับหน้าที่รับผิดชอบและนำเอาค่านิยมใหม่ๆ เกี่ยวกับการทำงานมาปรับใช้เพื่อหาทิศทางใหม่ต่อไป
แนวทางการเป็นผู้นำ
แนวทางในการเป็นผู้นำที่ผู้เขียนเสนอไว้ทั้ง 6 เรื่องมีดังนี้
1. จากการบริหารตนเองสู่การบริหารผู้อื่น เป็นเรื่องที่
พนักงานต้องเรียนรู้ไม่เพียงแค่การรับผิดชอบต่องานในหน้าที่ แต่จะต้องรู้ถึงการวางแผนเกี่ยวกับงาน
การทำงาน การมอบหมายงาน และสร้างแรงจูงใจ ฝึกฝนและประเมินผลงานของผู้อื่นได้
2. จากการบริหารผู้อื่นสู่การบริหารแบบผู้จัดการ เป็นเรื่องที่ผู้บริหารระดับผู้จัดการต้องเลือกพนักงานจากหัวข้อ
1 กล่าวคือ มองหาผู้นำรุ่นใหม่ที่จะก้าวเดินตามมา
3. จากการบริหารแบบผู้จัดการสู่การเป็นผู้จัดการสายงาน ในบทนี้มีประเด็นที่ท้าทายผู้บริหารมากขึ้น
ข้อแรก ผู้จัดการต้องเรียนรู้ที่จะสื่อสารด้วยวิธีการใหม่ๆ กับพนักงานเป็นรายบุคคล
เนื่องจากผู้จัดการสายงานมักมีลำดับชั้นการบังคับบัญชาที่ห่างจากพนักงานส่วนหน้า
ผู้จัดการในระดับนี้จึงต้องเผชิญหน้ากับการบริหารพนักงานที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดในการทำงานร่วมกันโดยตรง
อีกทั้งยังต้องให้ความร่วมมือและอาจต้องแข่งขันเพื่อชิงงบประมาณกับผู้จัดการในสายงานอื่นด้วย
การมีมุมมองระยะยาวเป็นกุญแจสำคัญสำหรับความสำเร็จในระดับนี้ ดังนั้น ผู้จัดการระดับนี้ต้องมีความสามารถด้านทักษะการสื่อสารและทักษะในเชิงกลยุทธ์
4. จากผู้จัดการสายงานสู่ผู้จัดการธุรกิจ ความยากในขั้นนี้ก็คือ ในขณะที่ผู้จัดการสายงานเรียนรู้ที่จะร่วมมือกับสายงานอื่น
ผู้จัดการธุรกิจต้องเรียนรู้ที่จะผนวกประสานสายงานเหล่านี้เข้าด้วยกัน จึงต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนมุมมองจากการมองแบบสายงาน
(เช่น เราจะทำงานได้สำเร็จลุล่วงหรือไม่?) ไปสู่มุมมองในเรื่องกำไร (เราจำเป็นต้องทำงานนี้หรือเปล่า?
มันทำให้บริษัทมีกำไรหรือเปล่า?)
5. จากผู้จัดการธุรกิจสู่ผู้จัดการกลุ่ม การเปลี่ยนผ่านในขั้นนี้อยู่ที่การเปลี่ยนจากความรับผิดชอบต่อธุรกิจเดียวไปสู่ธุรกิจหลายอย่างมากขึ้น
สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ก็คือ การจัดสรรเงินลงทุนไปจนถึงการวางยุทธศาสตร์องค์กร
อีกทั้งยังต้องสร้างผู้จัดการธุรกิจรุ่นใหม่ขึ้นมา และมุ่งเน้นที่ยุทธศาสตร์ของธุรกิจโดยรวม
กล่าวคือต้องรู้จักกำหนดส่วนผสมของการประกอบธุรกิจให้ลงตัวและทำให้ประสบผลสำเร็จ
ในขั้นนี้ ผู้บริหารจึงมีลักษณะการทำงานที่เป็นองค์รวม โดย ต้องเข้าใจถึงความสลับซับซ้อนของการบริหารธุรกิจหลากหลาย
รู้จักคิดในแง่ของชุมชน อุตสาหกรรม รัฐบาล และกิจกรรมพิธีการต่างๆ
6. จากผู้จัดการกลุ่มสู่ผู้จัดการกิจการ ผู้บริหารระดับนี้ก็คือประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือ
CEO ที่ต้องมีวิสัยทัศน์ยาวไกลเกี่ยวกับองค์กร ขณะเดียวกันต้องรู้จักสร้างกลไกที่จะสานผลประกอบการรายไตรมาสให้เข้ากับยุทธศาสตร์ระยะยาวขององค์กรด้วย
แนวทางของบริษัทเล็ก
กรอบแนวคิดทั้ง 6 ข้อข้างต้นเหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ แต่สามารถประยุกต์ให้เข้ากับองค์กรธุรกิจทุกขนาด
เช่น ธุรกิจขนาดเล็กอาจตัดขั้นตอนผู้จัดการกลุ่มออกไปแล้วรวมเอาหน้าที่ของผู้บริหารกิจการเข้าไว้กับผู้จัดการธุรกิจ
ขั้นตอนก็จะเหลือเพียงจากผู้จัดการตนเอง ผู้จัดการผู้อื่น ผู้จัดการสายงาน
และผู้จัดการธุรกิจ
นอกจากนั้นในหนังสือยังมีแบบทดสอบทักษะที่จำเป็นของ
ผู้บริหารแต่ละระดับที่จะช่วยในการพัฒนาภาวะผู้นำด้วย และยังช่วยให้บริษัทไม่พลาดที่จะสร้างมือบริหารรุ่นใหม่ขึ้นมาจากระดับล่าง
และจุดนี้บริษัทหลายแห่งมักละเลยไปเนื่องจากมัวสนใจอยู่แต่เรื่องการหาผู้บริหารระดับสูง