ในที่สุดบิลล์ เกตส์ (Bill Gates) ก็ถูกดับรัศมี
ดิฉันไม่ได้หมายถึงในโลกของธุรกิจเทคโนโลยี แต่หมายถึงในโลกของผู้ที่ได้ชื่อว่า
ร่ำรวยติดอันดับโลกซึ่งเกตส์ครองความเป็นหนึ่งติดต่อกันมาหลายสมัย ในที่สุดสัจธรรมที่ว่า
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าก็ได้รับการพิสูจน์อีกครั้ง...
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทมส์แห่งลอนดอน
(London Sunday Times) ได้จัด อันดับ Rich List 2001 ปรากฏว่าผู้ที่ขึ้นแป้นเป็นผู้ซึ่งรวยที่สุดในโลกกลายเป็นเอส.
ร็อบสัน วอลตัน (S. Robson Walton) วัย 55 ปี ทายาท คนโตของแซม วอลตัน (Sam
Walton) แห่งวอล-มาร์ต (Wal-Mart) ราชาธุรกิจค้าปลีกของ โลกผู้ล่วงลับไปแล้ว
Rich List 2001 ระบุว่า ล่าสุดนี้เอส. ร็อบสัน วอลตัน มีทรัพย์สินมูลค่ารวมแล้ว
4 หมื่น 5 พัน 3 ร้อยล้านปอนด์ หรือประมาณ 2 ล้าน 9 แสน 5 หมื่น 7 พันล้านบาท
มากกว่าบิลล์ เกตส์อยู่ 8 พันล้านปอนด์ หรือประมาณ 5 แสน 2 หมื่น 2 พันล้านบาท
สำหรับเหตุผลที่ทรัพย์สินของเกตส์มีมูลค่าลดลง เพราะฟองสบู่ธุรกิจเทคโนโลยีใน
สหรัฐอเมริกาแตก ผนวกเข้ากับเศรษฐกิจของ สหรัฐฯ กำลังอยู่ในระยะขาลง แต่ถึงกระนั้น
คนอเมริกันก็ยังต้องกินต้องใช้ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ทรัพย์สินของวอลตันซึ่งทำธุรกิจค้าปลีกเพิ่มพูนขึ้น...
จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ของเกตส์กับ วอลตันนั้นสวนทางกัน แม้ทั้งคู่จะทำธุรกิจอยู่
ในประเทศเดียวกันก็ตาม เอส. ร็อบสัน วอลตัน ปัจจุบันเป็นประธานของวอล-มาร์ต
เขาเป็นบุตรชายคนโตในจำนวนบุตร ทั้งหมด 4 คนของแซม วอลตัน ซันเดย์ไทมส์
บอกว่า นอกจากเอส. ร็อบสัน วอลตันได้รับมรดกเป็นเงินนับพันล้านดอลลาร์สหรัฐจากผู้เป็นพ่อแล้ว
มรดกอีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้ติดตัวมาก็คือ การไม่ชอบเป็นเป้าสายตาของสาธารณชน
ปัจจุบัน ถึงแม้ว่าวอล-มาร์ตจะเป็นเจ้าของธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในโลก
มีสาขามากมายถึงกว่า 4,000 แห่ง ทั้งในและนอกสหรัฐฯ แต่เมื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ของ
วอล-มาร์ต จะไม่มีทั้งภาพและประวัติของ เอส. ร็อบสัน วอลตันปรากฏให้เห็นแม้แต่ภาพ
เดียว
สาเหตุที่ทำให้ครอบครัววอลตัน "เก็บตัว" ซันเดย์ไทมส์ระบุว่าเป็นเพราะตอน
ที่แซม วอลตัน ก่อตั้งวอลมาร์ตและกลายเป็น คนมีชื่อเสียงขึ้นมา เขามีประสบการณ์ไม่ค่อย
ดีนักกับสื่อมวลชน วอลตันเคยเขียนไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติตอนหนึ่งว่า สื่อมวลชนทำให้เขากลายเป็นพวกตัวประหลาด
เป็นพวกบ้านนอกคอกนาที่ต้องนอนกับสุนัขเพื่อให้เฝ้าเงินนับพันล้านที่ซุกซ่อนไว้
เป็นเรื่องที่เล่าขานกันจนกลายเป็นตำนานว่า ถึงแม้แซม วอลตันจะมีเงินเป็นพัน
ล้านดอลลาร์ แต่เขาก็ยังขับรถบรรทุกขนาด เล็กคันเก่า และยังคงตัดผมครั้งละ
5 ดอลลาร์ สหรัฐ ที่ร้านใกล้บ้าน ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ประมาณ 225 บาท ซึ่งหากย้อนไปเมื่อก่อน
ก็น่าจะตกประมาณร้อยกว่าบาท...
ค่าตัดผมของวอลตันผู้พ่อจะเบ็ดเสร็จ เด็ดขาดอยู่แค่นั้น เพราะสำหรับแซม
วอลตัน แล้ว ไม่มีคำว่า "ทิป" อยู่ในพจนานุกรม
เมื่อมีเงินถึงขั้นรวยติดอันดับโลก แซม วอลตันก็ได้บทเรียนว่า สถานะเช่นนั้นได้ทำลายชีวิตของเขา
และบทเรียนดังกล่าวได้ถูกส่งต่อมายังลูกชายคนโตของเขา
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกที่หลังจากการจัดอันดับให้เอส. ร็อบสัน วอลตัน เป็นผู้ซึ่งร่ำรวยที่สุดในโลก
ซันเดย์ไทมส์ได้พยายามติดต่อขอข้อมูลส่วนตัวของเขาเพิ่มเติมจากทางวอล-มาร์ต
ปรากฏว่าโฆษกของวอล-มาร์ต บอกว่า ไม่ขอตอบคำถามที่เป็นเรื่องส่วนตัว จะตอบก็แต่คำถามเกี่ยวกับธุรกิจของ
วอล-มาร์ตเท่านั้น!
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ ซันเดย์ไทมส์มีข้อมูลเกี่ยวกับวอลตันแต่เพียง
สั้นๆ ว่า ปัจจุบัน เอส. ร็อบสัน วอลตันยังคง อาศัยอยู่ใกล้กับบ้านเดิมของครอบครัววอลตันที่เบนตันวิลล์
ในรัฐอาร์คันซอ และวุ่นอยู่กับการใช้เงินจำนวนมหาศาล ทั้งนี้ เนื่องจาก กองทุนของครอบครัววอลตันได้บริจาคเงินเพื่อการศึกษาจำนวนมากกว่า
100 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 6,500 ล้านบาทให้กับมหา-วิทยาลัย 5 แห่งในสหรัฐฯ
ถ้าอยากจะรู้จักเอส. ร็อบสัน วอลตันให้ดี หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องย้อนรอยไปดูความเป็นมาของแซม
วอลตัน...
ครอบครัววอลตันไม่ได้มีพื้นเพเป็นชาวอาร์คันซอหรอกค่ะ
แซม วอลตันเกิดที่รัฐโอคลาโฮมา เมื่อ วันที่ 29 มีนาคม 2461 แต่ไปโตที่รัฐมิสซูรี
โดยวอลตันเรียนไปด้วยและทำงานในร้านของ พ่อไปด้วยตั้งแต่เด็ก หลังจากจบจากมหา
วิทยาลัยมิสซูรี ในปี 2483 เริ่มงานแรกกับห้างสรรพสินค้า เจ.ซี. เพนนี (J.C.
Penny) ได้เงินเดือนๆ ละ 75 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่จะไปทำงานกับดูปองต์ (Du
Pont) ที่แคลร์มอร์ รัฐโอคลาโฮมา ซึ่งที่นั่นเอง เขาได้พบและแต่ง งานกับเฮเลน
ร็อบสัน (Helen Robson)
ปี 2485 วอลตันถูกเรียกตัวเข้ารับราชการทหารจนถึงปี 2488
เมื่อออกจากกองทัพด้วยเงินออมจำนวน 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ และยืมเงินจาก พ่อตาคือ
แอล. เอส. ร็อบสัน (L. S. Robson) อีก 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ วอลตันก็ได้เริ่มเปิดร้านขายของสารพัดชนิดที่นิวพอร์ต
รัฐอาร์คันซอ ชื่อเบน แฟรงกลิน (Ben Franklin) ซึ่งเป็นร้านประเภทแฟรนไชส์
(franchise) ตอนนั้นเขาอายุเพียง 27 ปี
เพียงแค่ 2 ปีครึ่ง วอลตันก็สามารถคืนเงินที่ยืมพ่อตามาได้ทั้งหมด
ปี 2493 แซมและเฮเลน วอลตันได้ย้ายไปอยู่ที่เบนตันวิลล์และขยายกิจการร้านค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง
โดยเวลานั้นยังอิงอยู่กับ บัตเลอร์ บราเดอส์ (Butler Brothers) ในชิคาโกซึ่งเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ร้านเบนแฟรงกลิน
กระทั่ง 2 กรกฎาคม 2505 ขณะที่อายุ 44 ปี วอลตันได้เปิดห้างสรรพสินค้าวอล-มาร์ตแห่งแรกขึ้นที่เมืองโรเจอส์
ในรัฐอาร์คัน ซอ วอล-มาร์ตสร้างชื่อเสียงขึ้นมาจากการขาย ของมียี่ห้อในราคาถูก
ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ และทำให้มีวอล-มาร์ตมีสาขาเพิ่มมากขึ้นราว กับดอกเห็ด
นอกจากวอล-มาร์ตจะมีชื่อเสียงควบ คู่ไปกับวิธีการบริหารของวอลตัน
วอล-มาร์ตเป็นบริษัทมหาชนในปี 2513 พร้อมกับที่วอลตันได้เสนอ "แผนแบ่งปัน
กำไร" ให้กับพนักงาน โดยรายได้ของพนักงานขึ้นกับกำไร
แซม วอลตันเชื่อในทีมงานมากกว่าปัจเจกบุคคล
"individuals don't win, teams do"
นอกจากพนักงานของวอล-มาร์ตจะได้ถือหุ้นของบริษัทแล้ว พวกเขายังจะได้รับส่วนลดหากซื้อของในห้างอีกด้วย
วอลตันนับ เป็นนักธุรกิจคนแรกที่ดำเนินนโยบายดังกล่าวนี้
วอลตันเชื่อว่า หากพนักงานมีความสุข หมายถึงลูกค้ามีความสุข ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้น
เขาเชื่อว่าการให้พนักงานเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท จะทำให้พนักงานรักและทุ่มเท
ให้บริษัท
ว่ากันว่า ผู้ที่จุดประกายความคิดในการดำเนินธุรกิจให้กับแซม วอลตันจนประสบ
ความสำเร็จนั้น ก็คือ พ่อตาของเขานั่นเอง
แซม วอลตัน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2535 ตอนนั้นเขารวยเป็นอันดับสอง
รองจากบิลล์ เกตส์ แห่งไมโครซอฟท์
เฮเลนภรรยาของเขา พร้อมกับลูกชาย 3 คน และหญิง 1 คน คือ ร็อบ หรือ เอส.
ร็อบสัน วอลตัน (Rob หรือ S. Robson Walton) จอห์น ที. วอลตัน (John T. Walton)
จิม ซี. วอลตัน (Jim C. Walton) และ อลิซ แอล. วอลตัน (Alice L. Walton)
รับมรดกดูแลกิจการวอล-มาร์ตต่อนับจากนั้น
ครอบครัววอลตันถือหุ้นของวอล-มาร์ตอยู่ 38 เปอร์เซ็นต์
นอกจากในสหรัฐฯ แล้ว ปัจจุบันวอล-มาร์ตยังได้ขยายกิจการออกไปยังเม็กซิโก
แคนาดา อาร์เจนตินา บราซิล เกาหลีใต้ จีน และเปอร์โตริโก รวมทั้งเป็นเจ้าของห้างสรรพ
สินค้า ASDA ในอังกฤษอีกด้วย
ผู้ที่สนใจชีวิตและงานของแซม วอลตัน สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือหลายเล่ม
โดยเฉพาะหนังสืออัตชีวประวัติของ เขาเองคือ "Sam Walton: Made in America:
My Story" ซึ่งเขียนโดยแซม วอลตัน และจอห์น ฮิวอี (John Huey)
แซม วอลตันบอกว่าเขาไม่ต้องการให้ ลูกเหมือนเขา อย่างไรก็ตาม ก็แสดงให้ลูกๆ
รู้ว่าธุรกิจของครอบครัวพร้อมอ้าแขนรับพวกเขาเสมอ แต่เมื่อเข้ามาแล้ว ทุกคนก็จะต้องทำงานหนักอย่างพ่อ!
เอส. ร็อบสัน วอลตัน เรียนมาทางด้าน กฎหมายและเป็นนักกฎหมายคนแรกของวอล-มาร์ต
และเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้ วอล-มาร์ตกลายเป็นบริษัทมหาชน และเข้าไป
มีส่วนในการบริหารของบริษัทมากขึ้นนับแต่นั้น
แซมและเฮเลน วอลตันให้อิสระกับลูก และสอนไม่ให้ฟุ่มเฟือย...
คงรู้จักผู้ซึ่งได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดในโลก มากขึ้นนะคะ
"ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" ค่ะ!