หากกนกวิภา เป็นแค่ผู้บริหารธรรมดาๆ ในองค์กร คงไม่เป็นไรนัก แต่กนกวิภาเป็นลูกสาวของวิทย์
วิริย-ประไพกิจ และเป็นหลานสาวของคุณหญิงประภา วิริยประไพกิจ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของสหวิริยาโอเอ
การลาออกของกนกวิภาจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา
แม้ว่า คำชี้แจงที่มาจากสหวิริยาโอเอ คือ ลาออกเพื่อพักผ่อน เนื่องจากตั้งครรภ์ได้
2 เดือนแล้ว และต้องติดตามสามี ที่จะย้ายไปทำงานที่สวิตเซอร์แลนด์ 2 ปี
แต่หลายคนเชื่อว่า ไม่น่าจะใช้สาเหตุที่แท้จริง เพราะในฐานะของกรรมการ
และทายาทของผู้ถือหุ้นแล้ว เธอสามารถลาพักเมื่อไหร่ และใช้เวลาเท่าไหร่ก็ได้
ไม่จำเป็นต้องยื่นใบลาออก
หากไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้กนกวิภาไม่อาจอยู่ร่วมในสหวิริยาโอเอได้อีกแล้ว
ช่วงเวลาที่กนกวิภายื่นใบลาออกก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่สหวิริยาโอเอตัดแบ่งธุรกิจช่องทางจัดจำหน่ายไปให้กับเจโอเอสมาถือหุ้น
การลาออกของทีมงานเหล่านี้ ไม่ได้แยกย้ายกันไปไหน แต่ไปตั้งบริษัทใหม่ขึ้น
ใช้ชื่อว่า บริษัทสตรีม ทำธุรกิจติดตั้งระบบและให้คำปรึกษาเหมือนเดิม
"บริษัทนี้เป็นการลงขันของอดีตพนักงานเอสไอ 10 คน คนละ 1 ล้านบาท มีทุนจดทะเบียน
10 ล้านบาท" วิชชุ จารุจันทร รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัทสตรีม
กล่าว
ธุรกิจของสตรีมคือ จะเหมือนกับกลุ่มเอสไอที่ทำมาในอดีตทุกอย่าง กลุ่มลูกค้าจะเป็นกลุ่มธนาคารเหมือนเดิม
จะเพิ่มในส่วนของธุรกิจทางด้านที่ปรึกษาเกี่ยวกับการวางระบบให้มากขึ้น
"สินค้าและบริการจะเหมือนเดิม ซัปพลายเออร์ที่เคยป้อนสินค้าให้ อย่าง ฮิตาชิ
หรือ แทนเด็ม ก็ไม่มีปัญหา อันที่จริงแล้วตรงนี้ไม่ใช่ปัญหา เพราะเทคโนโลยีเวลานี้ก็สามารถใช้งานร่วมกันได้อยู่แล้ว
แต่สิ่งสำคัญคือ ทีมงานที่จะให้บริการแก่ลูกค้ามากกว่า"
พูดง่ายๆ ก็คือ ยกเอสไอมาไว้ที่บริษัทสตรีม แน่นอนว่า ฐานลูกค้าเก่าๆ ในกลุ่มเอสไอของสหวิริยาโอเอจะต้องถูกดึงตามมาด้วย
เพราะธุรกิจนี้ไม่ใช่การขายฮาร์ดแวร์ หรือ ซอฟต์แวร์ แต่เป็นการขายระบบ ขายความสามารถในการให้บริการ
แม้ผู้บริหารของสตรีมจะบอกว่า กนกวิภาเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทเท่านั้น แต่หลายคนเชื่อว่า
เธอน่าจะเป็นเจ้าของเก้าอี้กรรมการผู้จัดการบริษัทแห่งนี้ เพียงแต่เวลายังไม่เหมาะสมเท่านั้น
"เป็นไปได้ว่า คุณปุ๊ก(กนกวิภา)ยังไม่อยากเปิดตัวเวลานี้ เพราะเป็นกรรมการอยู่ในสหวิริยาโอเอ
กฎหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯก็ห้ามไม่ให้กรรมการบริษัทออกไปทำธุรกิจแข่งขัน
ซึ่งคุณปุ๊กกำลังทำเรื่องนี้อยู่"
ที่สำคัญการเปิดเผยตัวเวลานี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสตรีมเท่าใดนัก เพราะสำหรับแจ๊คแล้ว
บริษัทสตรีมคือ คู่แข่งตัวฉกาจ และเป็นวิบากกรรมของกลุ่มเอสไอ ซึ่งเวลานี้ก็เหลือแต่เพียง
อดิศร แก้วบูชา เพียงคนเดียว ที่แจ๊คเองคงต้องหาทุกวิถีทางที่จะสกัดกั้นไม่ให้ลูกค้าเปลี่ยนใจไปใช้บริการ
ถึงกับส่งจดหมายเวียนไปให้กับลูกค้าทุกแห่ง
กนกวิภา เป็นทายาทของตระกูลวิริยประไพกิจ เพียงคนเดียว ที่เลือกที่จะเดินบนเส้นทางสายนี้
เธอเข้ามาเรียนรู้งานในสหวิริยาโอเอ ตั้งแต่สมัยเรียนจบจากสิงค-โปร์ใหม่ๆ
ซึ่งก่อนหน้านี้น้องสาวของกนกวิภาก็เคยเข้ามาเรียนรู้งานได้ระยะหนึ่งจากนั้นก็ลาออกไป
กนกวิภานั้นเรียนรู้ตั้งแต่การเป็นพนักงานระดับเล็ก เป็นเซลส์แมนขายของที่ต้องเดินไปพบลูกค้า
ขายตั้งแต่อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ อย่าง ดิสเก็ตต์ จนกระทั่งมาถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่
อย่างเมนเฟรม
ในที่สุดเธอก็พบว่า ธุรกิจวางระบบคอมพิวเตอร์ (SYSTEM INTEGRATION) เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ
เพราะ ธุรกิจนี้ไม่ใช่แค่ซื้อมาขายไป แต่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และความสามารถในอีกระดับหนึ่ง
และลูกค้าก็เป็นองค์กรขนาดใหญ่อย่างธนาคาร
มันไม่เพียงแค่การท้าทายธรรมดาๆ แต่หากธุรกิจนี้ไปได้ดีเท่ากับเป็นฝีมือของเธอจริงๆ
ด้วยความแตกต่างของการทำธุรกิจนี้เอง ทีมงานของเอสไอจึงแตกต่างไปจากพนักงานของสหวิริยาโอเอ
ทีมงานของกลุ่มเอสไอ หากไม่จบต่างประเทศ ก็ต้องมีดีกรีขั้นต่ำระดับปริญญาโท
แน่นอนว่า ผลตอบแทนของทีมงานเหล่านี้จะสูงกว่า รวมทั้งสวัสดิการ และอภิสิทธิ์อื่นๆ
เอสไอ จึงไม่ต่างจากอาณาจักรส่วนตัวของกนกวิภา ที่ไม่ต้องขึ้นตรงกับแจ๊ค
และแจ๊คเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกลุ่มเอสไอมีรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี ยิ่งในช่วงที่ธุรกิจค้าส่งเริ่มมีปัญหารายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย
เอสไอเป็นธุรกิจเดียวที่ยังมีรายได้ และกำไรเพิ่มขึ้น
"มาช่วงที่ต้องลดเงินเดือน ลดคน กลุ่มเอสไอก็ต้องโดนด้วย จริงๆ แล้วคุณปุ๊กก็ไม่พอใจคุณแจ๊คหลาย
เรื่อง อย่างตอนที่คุณแจ๊คเอาธุรกิจอินเตอร์เน็ตไปให้เออาร์ทำ แทนที่จะให้สหวิริยา
ทั้งๆ ที่ธุรกิจนี้มีอนาคต และไม่ต้องสต็อกสินค้า แต่คุณปุ๊กก็ไม่ได้พูดอะไร"
ฟางเส้นสุดท้ายของกนกวิภาขาดสะบั้นลง เมื่อผลสรุปการร่วมทุนของเจโอเอสที่มาถือเฉพาะในส่วนของไอทีเทอร์มินัล
เป็นจุดแตกหักที่ทำให้เธอต้องตัดสินใจ เพราะนั่นเท่ากับว่า เอสไอจะตกเป็นผู้แบกรับภาระ
ซึ่งเป็นภาระที่กลุ่มเอสไอไม่ได้เป็นคนทำ
"มันเหมือนกับว่า เราไม่อยากออกเรือใหญ่ไปกับคุณแจ๊ค ซึ่งเขาจะไปอีกทางหนึ่ง
เป็นคนละทางที่เราอยากไป เราก็เลยต้องขอแยกไปอีกทาง" อดีตพนักงานกลุ่มเอสไอเล่า
ปัญหาอยู่ที่ว่า การลาออกของกนกวิภาและทีมงาน เพื่อไปสร้างอาณาจักรใหม่นั้นส่งผลกระทบต่อสหวิริยาโอเอไปเต็มๆ
และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับสหวิริยาโอเอมีหรือที่นักธุรกิจที่คร่ำหวอดมานานอย่างวิทย์
หรือ คุณหญิงประภาจะไม่รู้ เพราะอย่างไร คติที่ว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำก็ยังใช้ได้อยู่