ภาวะวิกฤติสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในปี 2540 ทำให้เกิดการปิดกิจการบริษัทเงินทุนจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของที่มีอยู่ในเวลานั้น
ซึ่งในช่วงปี 2541 ที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นภาพการพยายามที่จะขายทรัพย์สินของบริษัทเงินทุนเหล่านี้
เพื่อนำไปชำระคืนแก่เจ้าหนี้ในปี 2542 นี้
ส่วนกิจการเงินทุนที่เหลืออยู่อีกประมาณ 24 ราย ต่างพยายามที่จะรักษาสถานะการดำเนินธุรกิจของตนเองเอาไว้
แม้จะต้องเผชิญกับภาวะทางเศรษฐกิจที่โหดร้ายมากก็ตาม ทั้งนี้มีปัจจัยแวดล้อมในเชิงลบต่างๆ
รุมกระหน่ำและสั่นคลอนฐานะกิจการของบริษัทเงินทุนเหล่านี้ค่อนข้างมาก และคาดว่าปัจจัยเหล่านี้
ก็จะยังคงคุกคามบริษัทเงินทุนในระบบที่ยังเหลืออยู่อย่างต่อเนื่องต่อไปในปี
2542 นี้ด้วย เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยต่อเนื่อง (อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจดำดิ่งจากระดับ
-0.4% ในปี 2540 มาอยู่ที่ระดับ -8.2% ในปี 2541), สภาพคล่องที่ตึงตัวโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี
2541, การไร้เสถียรภาพของค่าเงิน, ความตกต่ำของตลาดหุ้น, รวมถึงปัจจัยภายนอกอันได้แก่
วิกฤติการณ์เศรษฐกิจการเงินของบรรดาประเทศต่างๆ ในแถบภูมิภาคอาเซียน เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้นำเสนอรายงานเกี่ยวกับผลประกอบการบริษัทเงินทุนงวด
9 เดือนแรกปี 2541 และแนวโน้มปี 2542 ซึ่งเผยให้เห็นว่าแม้ทางการจะได้มีการประกาศมาตรการ
14 สิงหาคม 2541 เกี่ยวกับแผนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน โดยเฉพาะการประกาศหลักเกณฑ์การเข้าขอรับความช่วยเหลือ
เพิ่มทุนจากทางการ ในส่วนของเงินกองทุนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 แต่การตอบรับเข้าร่วมโครงการของบริษัทเงินทุนเป็นไปอย่างล่าช้ามาก
แม้ทางการจะมีการกำหนดให้จัดทำแผนเพิ่มทุนให้เสร็จภายในเดือนม.ค. 2542 นี้ก็ตาม
นอกจากนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 17
แห่งที่จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ไทยที่ศูนย์วิจัยฯ ได้ทำการศึกษา ก็ยังปรากฏผลที่ไม่สู้ดีนัก
ทำให้เห็นว่าบริษัทเงินทุนที่เหลืออยู่ในระบบจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนไหวขอรับความช่วยเหลือจากทางการแน่
สำรองพอปี42 แต่ปีถัดไปน่าเป็นห่วง
ศูนย์วิจัยฯ ศึกษาพบว่าการตั้งสำรองของบริษัทเงินทุนในระบบส่วนใหญ่จะเกินสัดส่วนขั้นต่ำที่
20% (ซึ่งจะต้องตั้งให้ครบภายในสิ้นปี 2541 นี้) และโดยเฉพาะในบางแห่ง จำนวนการตั้งสำรอง
ณ สิ้นเดือนกันยายน สูงเกือบเท่า 100% ที่กำหนดให้ตั้งให้ครบภายในสิ้นปี
2543 ด้วยซ้ำ โดยหากพิจารณาจากตัวเลขการตั้งสำรองของบริษัทเงินทุนจดทะเบียนทั้ง
17 แห่งในตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นกันยายน 2541 จะเห็นได้ว่ามีการกันสำรอง สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ทางการกำหนดให้ต้องดำรงภายในสิ้นปี
2542 ทั้งในกรณีที่สมมติให้หักหลักประกันได้ 40% และ 50% ซึ่งการทำเช่นนี้ไม่ได้เป็นการซ้ำเติมให้รายได้สุทธิหลังหักการกันสำรองลดจำนวนลง
หรือติดลบมากขึ้นเหมือนในกรณีที่กันสำรองยังไม่ครบแต่อย่างใด
ศูนย์วิจัยฯ คาดหมายด้วยว่าเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ การตั้งสำรองในงวดสุดท้ายของปี
2541 ไม่น่าส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของระบบบริษัทเงินทุนในปี 2541 แต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในกรณีที่ต้องการกันสำรองให้ครบถ้วนทั้งจำนวน 100%
(ซึ่งตามเกณฑ์คือต้องทำ ให้ได้ในปี 2543) จะต้องดำรงเงินทุนสำรองเป็นมูลค่า
109,710.86 ล้านบาท และ 91,762.52 ล้านบาท สำหรับกรณีที่สามารถเอาหลักประกันมาหักได้ในสัดส่วน
40% และ 50% ตามลำดับ จะเห็นว่าการกันสำรองที่ได้ตั้งไว้แล้วของ 17 บริษัท
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2541 ยังไม่เพียงพอ หรืออยู่ในระดับที่ต่ำกว่าในทั้งสองกรณี
หากดูในข้างของส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด 17 บริษัท ก็มีจำนวนน้อยกว่าเงินสำรองที่ขาดไป
คือส่วนของผู้ถือหุ้นมีเพียง 27,620.22 ล้านบาท เทียบกับเม็ดเงินกันสำรองที่ขาดไป
33,939.60 ล้านบาท(ในกรณีหักหลักประกันได้ 40%)
อย่างไรก็ตาม แม้ส่วนของผู้ถือหุ้นจะพอเพียงเมื่อพิจารณาในกรณีของการหักหลักประกันได้
50% แต่เม็ดเงินที่เหลือหลังหักประกันแล้วจะน้อยมาก แสดงให้เห็นความจำเป็นว่าบริษัทเงินทุนเหล่านี้จำเป็นต้องเพิ่มทุน
นอกจากประเด็นเรื่องการกันสำรองแล้ว บริษัทเงินทุนยังมีปัญหารุนแรงในเรื่องของการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(NPL)
ปัจจุบันโครงสร้างหนี้จัดชั้นของบริษัทเงินทุน 17 แห่งอยู่ในระดับ 30%
เป็นหนี้ปกติ, 9% เป็นหนี้ที่ถูกกล่าวถึง, 11% เป็นหนี้จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน,
20% เป็นหนี้จัดชั้นสงสัย และ 30% เป็นหนี้จัดชั้นสูญ ดังนั้นภาระค่าใช้จ่าย
ในการตั้งสำรองหนี้ของไฟแนนซ์ในอนาคตยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป เพราะหนี้ที่อยู่ระดับต่ำกว่าหนี้จัดชั้นสูญนั้นพร้อมจะเลื่อนไปเป็นหนี้จัดชั้นสูญได้ทุกเมื่อ
ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งคือเกณฑ์ของทางการที่เข้มงวดมากขึ้น ในการระงับการรับรู้รายได้จากดอกเบี้ยค้างรับ
ที่จะเปลี่ยนจากเดิม 6 เดือนมาเป็น 3 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2542
เป็นต้นไป และอีกประเด็นคือเรื่องส่วนของผู้ถือหุ้นที่ลดทอนลงทุกขณะ เพราะขณะที่มีการตั้งสำรองเพิ่มทุกวันทุกเดือนนั้น
ส่วนของผู้ถือหุ้นไม่ได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากมีการเรียกเพิ่มทุนกันน้อยมาก
ศูนย์วิจัยฯ คาดหมายว่าบริษัทเงินทุนทุกแห่งน่าจะเข้าร่วมโครงการขอรับความช่วยเหลือเรื่องเงินกองทุนขั้นที่
2 รวมทั้งขั้นที่ 1 ก็คงจะเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์ก็เป็นสถาบันการเงินแห่งแรกแล้ว
ที่ขอเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือเรื่องเงินกองทุนขั้นที่ 1 จากทางการ
นอกจากนี้สถาบันการเงินทุกแห่งมีกำหนดที่จะต้องทำ MOU เรื่องการเพิ่มทุนกับทางการภายในสิ้นเดือนนี้
ศูนย์วิจัยฯ จึงมองว่ารายละเอียดการเพิ่มทุนจะออกมาหลังการทำ MOU ดังกล่าว
และกว่าที่จะดำเนินการได้ตาม ที่เสนอไว้ ก็คงจะเป็นกลางปีนี้ ซึ่งนั่นจะเป็นภาพการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบบริษัทเงินทุนอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยฯ ได้คาดหมายแนวทางอีกด้านหนึ่งคือ หากมีบริษัทเงินทุนขอรับความช่วยเหลือเรื่องการเพิ่มทุนจากทางการมาก
โดยเฉพาะในกองทุนขั้นที่ 1 ก็มีความเป็นไปได้ว่าทางการอาจตัดสินใจเรื่องการควบรวมกิจการมากขึ้น
เพื่อยุบจำนวนไฟแนนซ์ในระบบให้น้อยลง และสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดแก่โครงสร้างของระบบบริษัทเงินทุน
รวมทั้งอาจจะพัฒนารูปแบบการดำเนินงานของบริษัทเงินทุนไปสู่การเป็นธนาคารที่จำกัดการทำธุรกิจ
(Restricted Bank) เป็นการขยายขอบข่ายการทำธุรกิจให้กว้างกว่าการทำไฟแนนซ์แบบเดิม
ค่าใช้จ่ายเพิ่ม รายได้ลด
ปัญหาหลักการขาดทุนของไฟแนนซ์
ในระยะ 9 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา บริษัทเงินทุน 17 แห่งที่ศูนย์วิจัยฯ
ทำการศึกษามีผลการดำเนินงาน ขาดทุนถึง 59.84 พันล้านบาท หรือขาดทุนเกือบ
2 หมื่นเปอร์เซ็นต์ เทียบกับไตรมาส 1 และ 2 ของปีเดียวกันยังขาดทุนในระดับพันเปอร์เซ็นต์
สาเหตุหลักมาจากรายได้ลดขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น
รายได้ที่ลดลงนั้นสาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ที่บั่นทอนความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
และการหดตัวของสินเชื่อ ซึ่งทำให้ในที่สุดฐานดอกเบี้ยรับได้หดตัวแคบลง ภาวะตลาดหุ้นและความผันผวนของค่าเงินก็ทำให้บริษัทเงินทุนต้องเผชิญกับ
ผลขาดทุนอันเกิดจากการปริวรรตและการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นจำนวนมาก
ส่วนค่าใช้จ่ายที่อยู่ในระดับสูงนั้น ก็มาจากปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงมาก
โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินแพงมาก นอกจากนี้ก็มีปัจจัยเกี่ยวกับเรื่องเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ที่เข้มงวดมากขึ้นของทางการ
การกันสำรอง และการนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ
แนวโน้มธุรกิจยังถดถอย
ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศยังอยู่ในอาการถดถอย ปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพยังกัดกร่อนฐานะกิจการบริษัทเงินทุน
และแม้ว่าบริษัทเงินทุนส่วนใหญ่ไม่ต้องพะวงกับการตั้งสำรองในงวดสุดท้ายของปี
2541 เพราะมีการตั้งไว้เกินกว่าระดับ 60% ไปแล้ว แต่การขยายตัวของ NPL รวมทั้งการเลื่อนระดับความรุนแรงของหนี้ที่มีปัญหามาสู่ระดับที่ต้องตั้งสำรองมากขึ้น
ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่พลิกฟื้น จึงยังคงเป็นปัญหาต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทเงินทุนอย่างมาก
นอกจากนี้ ข้อตกลงที่ทางการทำไว้กับ IMF ในเรื่องการเพิ่มทุนของสถาบันการเงิน
ก็เป็นการผูกมัดเงื่อนเวลาที่ทำให้สถาบันการเงินต้องตัดสินใจเรื่องการเพิ่มทุนอย่างรวดเร็วภายในเดือนนี้
ศูนย์วิจัยฯ คาดการณ์ว่าสถานการณ์ต่างๆ จะบีบรัดให้บริษัทเงินทุนต้องขอรับความช่วยเหลือจากทางการอย่างแน่นอน
สำหรับการคาดการณ์เรื่องผลประกอบการในอนาคตนั้น ศูนย์วิจัยฯ มองว่าในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลยังคงต้องชะลอตัวต่อไป
เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นจะส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้และการขยายสินเชื่อ ส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ แน่นอนว่าต้องการตั้งเพิ่มสูงขึ้น เพราะหนี้ที่ไม่จัดชั้นสูญนั้น
ในที่สุดก็มีความเป็นไปได้ว่าคงต้องจัดชั้นตั้งสำรองในวันใดวันหนึ่ง ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่เคยเฟื่องฟูเป็นกอบเป็นกำ
ของบริษัทเงินทุนจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยนั้น แม้ภาวะตลาดหุ้นปีนี้ไม่น่าจะทรุดหนักอย่างปีที่ผ่านมา
แต่โอกาสฟื้นตัวคงต้องขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย เช่น การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง
การจัดการสะสางปัญหาในระบบการเงิน ซึ่งคงต้องใช้เวลา รวมถึงสภาพทางการเมืองที่ต้องมีเสถียรภาพมากพอควร
ดังนั้น รายได้ในส่วนนี้ของบริษัทเงินทุนไม่น่าจะปรับตัวดีอย่างชัดเจนในเวลาอันใกล้
แต่บริษัทอาจจะมีกำไรเรื่องการปริวรรตดีขึ้นบ้าง เพราะค่าเงินบาทที่มีเสถียรภาพมากขึ้น