พลเอกแป้ง เป็นทหาร บุคลิกของเขาค่อนข้างแตก ต่างไปจากทหารทั่วไป เขาเป็นคนพูดจานุ่มนวล
ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า
ยิ่งในช่วงปรับปรุงช่อง 5 จากระบบราชการมาสู่การบริหารงานแบบเอกชน หากเป็นไปได้พลเอกแป้ง
มักจะไม่สวมเครื่องแบบทหารออกงานเลย ยกเว้นมีงานสำคัญๆ
ยามว่างเขาใช้เวลาตีกอล์ฟ ว่ายน้ำ หรือ ขี่ม้า เป็น กีฬา 3 ชนิดที่โปรดปราน
ซึ่งมีที่มาต่างกันไป
พลเอกแป้ง เป็นลูกคนที่ 3 ของ ม.ล.ปีกทิพย์ และ ชนัฎ มาลากุล ณ อยุธยา
มีพี่น้อง 5 คน ปนัดดา, ปีย์, พลเอกแป้ง, คุณหญิงทิพยวดี ปราโมช และ ทับทิม
พ่อเป็นนักการทูตต้องเดินทางบ่อย ในวัย 10 ปี พลเอก แป้งจึงถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ
และอยู่ในความดูแลของตาคือ พระยาประกิตกลสาร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่พลเอกแป้งบอกว่าทำให้เป็นเขาเป็นคนเจ้าระเบียบ
ญาติพี่น้อง ไม่มีใครยึดอาชีพทหาร แม่ของเขา ก็เคยตั้งความหวังไว้ว่าจะให้เรียนหมอ
เพราะเป็นคนหัวดี แต่เขากลับเลือกสวมเครื่องแบบทหาร ให้เหตุผลว่าเขาไม่ใช่หนอนหนังสือ
ประกอบกับได้แรงจูงใจจากเพื่อนฝูงที่ล้วนแต่ก็อยากเป็นทหาร
หลังจบมัธยมปลาย มุ่งสู่โรงเรียนเตรียมทหาร จากนั้นเข้าเรียนที่นายร้อย
จปร.รุ่น9 รุ่นเดียวกับพลเอกเชษฐา ฐานะจาโร และ พลเอกอนุสรณ์ กฤษณเศรณี พลเอกมงคล
อัมพรพิสิฐ พอขึ้นปี 2 ก็สอบชิงทุนได้ทุนของกองทัพบกไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยแซนเฮิร์ธ
ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งพี่น้องส่วนใหญ่ของเขาก็เรียนจบ ที่นี่ เพราะพ่อเขาเคยย้ายมาเป็นทูตที่อังกฤษ
พลเอกแป้งพบกับภรรยา ศิริรัตน์ เอื้อวิทยา หรือ ต่อ ที่ประเทศอังกฤษ ช่วงนั้นเขาอายุ
19 ปี เจอกันใน ห้องเรียนภาษาอังกฤษ จากนั้นก็คบหากันมาและแต่งงานกันตอนอายุ
25 ปี มีลูกชาย 2 หญิง 2 ซึ่งจบการ ศึกษาและเริ่มทยอยมีครอบครัวกันเกือบหมดแล้ว
หลังเรียนจบกลับมาเมืองไทย ภรรยาเข้าทำงานที่องค์กรระหว่างประเทศ SETO ตอนหลังหน่วยงานถูกยุบเธอจึงมาทำงานที่บริษัทเติมเอ็นจิเนียริ่ง
ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว
พลเอกแป้งใช้ชีวิตทหารในต่างจังหวัดเป็นส่วน ใหญ่ เรียนจบกลับมาเริ่มงานที่จังหวัดสระบุรี
เป็นผบ.มว.ร้อยฝึก พัน เบื้องต้นเฉพาะเหล่าทหารม้า และเป็นเหตุให้เขาชอบขี่ม้า
และเป็นนายกสมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทย รวมทั้งการฝึกเป็นนักบิน
เขาต้องไปทำงานที่ประเทศลาว 4 ปี จากนั้น ก็กลับมาเข้าโรงเรียนเสนาธิการ
สอบแข่งขันได้ไปเข้า โรงเรียนเสนาธิการ ประเทศออสเตรเลีย เรียนจบกลับมาเป็นอาจารย์โรงเรียนเสนาธิการ
จากนั้นก็ย้ายไปเพชรบูรณ์ เชียงราย เชียงใหม่ รวมแล้วอยู่ภาคเหนือมา 20 กว่าปี
ติดยศนายพลครั้งแรกอายุ 50 ปี สมัยเป็นผู้บังคับการทหารบก จังหวัดเชียงราย
รับผิดชอบงานพัฒนา ดอยตุง ก่อนจะย้ายมาเป็นผู้บังคับการมณฑลทหารบก 33 จังหวัดเชียงใหม่
และเป็นเจ้ากรมกิจการพลเรือน กอง ทัพบก
จากนั้นก็ได้เลื่อนยศเป็นพลโท อยู่ในตำแหน่ง ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายกิจกรรมพลเรือน
และเป็นเลขานุการคณะกรรมการบริหารวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก เป็นรองเสนาธิการทหารบก
และผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก และเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา
และผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ กองทัพบกช่อง 5 ปี 2539 จนถึงวันที่ 17 พฤษภาคม
2542
ผู้ใกล้ชิดกล่าวว่า พลเอกแป้งฉายแววในเรื่องของ การใช้สื่อมาตั้งแต่สมัยทำงานอยู่ต่างจังหวัด
สมัยที่ทำงานอยู่บนเขาค้อ พลเอกแป้งเป็นคนริเริ่มนำโทรทัศน์มาให้ประชาชนในถิ่นนั้นได้รับรู้ข่าวสาร
และนำสไลด์มัลติวิชั่นมาใช้นำเสนอข้อมูล ซึ่งในช่วงนั้นอุปกรณ์นี้ยังเพิ่งเริ่มใช้ในเมืองไทย
พลเอกแป้ง เล่าว่า เขาเริ่มเรียนรู้เรื่องวิทยุและโทรทัศน์ ในช่วงที่ย้ายมาเป็นเจ้ากรมกิจการพลเรือน
อัน เนื่องมาจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ กองทัพบกถูกมองในภาพไม่ดี ในฐานะเจ้ากรมกิจการพลเรือน
จึงต้องมาทำหน้าที่ให้ความเข้าใจกับประชาชน
จากที่ได้เข้ามาสัมผัสกับสื่อของกองทัพ พลเอกแป้งพบว่า สื่อของกองทัพไม่มีความเป็นเอกภาพ
ต่างคน ต่างดูแล เขาจึงทำเรื่องเสนอผู้บัญชาการทหารบก ให้ตั้ง คณะกรรมการบริหารวิทยุและโทรทัศน์
เป็นองค์กรดูแล สื่อทั้งหมดของกองทัพ
"พอผมเสนอเสร็จ ก็ได้เลื่อนจากเจ้ากรมกิจการพลเรือน มาเป็นผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก
และต่อมาก็ ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการของคณะกรรมการที่ได้รับแต่ง ตั้งให้ไปกำกับดูแลสถานีวิทยุทั้ง
128 แห่ง ให้เป็นไป ตามนโยบาย มีการจัดผังรายการให้เหมาะสม"
และจากจุดนั้นพลเอกแป้งก็ถูกเสนอชื่อมาเป็นผู้อำนวยการของสถานีโทรทัศน์ช่อง
5
จากชีวิตนายทหารที่อยู่ต่างจังหวัดมาถึง 20 ปี มาเป็นผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์
นับเป็นชีวิตที่พลิกผันไม่น้อย ซึ่งพลเอกแป้งเองก็บอกว่า เขาต้องปรับตัวมากทีเดียว
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะปรับตัวไม่นาน
"ผมเป็นคนโชคดี ที่มีเพื่อนอยู่ในวงการทีวีหลาย คน เช่น ชาติเชื้อ กรรณสูต
เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัย เรียนวชิราวุธ และ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล ก็เพื่อนกัน
พี่ชายและน้องสาวผมก็อยู่ในวงการนี้"
ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา เป็นคนที่คลุกคลีอยู่กับ "สื่อ" มากที่สุด
ทั้งในชีวิตส่วนตัวและในแง่มุมของธุรกิจ เขาเป็นเจ้าของบริษัทแปซิฟิก กรุ๊ป
ซึ่งเคยสร้างความฮือฮา ในวงการสื่อมาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ปัจจุบันเขาก็ยังวนเวียนอยู่ในยุทธจักรของสื่อ
เพียงแต่ลดความหวือหวา ลง มีสิ่งพิมพ์อย่างนิตยสาร ดิฉัน คลื่นจราจร จ.ส.100
ป้อนให้กับสถานีวิทยุกองพล 1 รักษาพระองค์ และมีราย การทีวีผลิตป้อนให้กับช่อง
5 เป็นแนวสารคดี
อันที่จริงแล้ว พลเอกแป้งและพี่น้องยังคงพบปะกันบ่อยมาก เพราะมีบ้านปลูกอยู่ในบริเวณเดียวกัน
แต่ช่วงหลังพลเอกแป้งจะย้ายไปปลูกบ้านใหม่อยู่หลังช่อง 5 แต่ก็ยังได้พบปะกับปีย์อยู่เสมอ
เพราะปีย์ซื้อคอน โดมิเนียมอยู่ใกล้ๆ กัน "ผมก็ปรึกษาพี่ชายผมบ้าง เขาเก่งกว่าผมเยอะ
เขาประสบความสำเร็จด้วยดี แต่บางอย่างผมก็เชื่อเขา บางอย่างผมก็ไม่เชื่อเขา"
วิธีการเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การไปเยี่ยมชมสถานีโทรทัศน์ทั้งในและนอกประเทศ
ไปทุกช่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ พลเอกแป้งบอกว่า เขาไปมาแล้วเกือบทั่วโลก
ในห้องทำงานที่ช่อง 5 ที่ตึกเก่าจะมีโทรทัศน์หลาย เครื่อง ที่พลเอกแป้งเปิดไว้ตลอดเวลา
เพื่อดูความเคลื่อน ไหวของรายการของช่อง 5 และช่องอื่นๆ
พลเอกแป้ง มีเพื่อนฝูงที่เป็นนายทหารรุ่นพี่รุ่นน้อง จปร.รุ่น9 ที่เขาจบมาก็เป็นนายทหารรุ่นที่มีความสนิทสนม
กับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ เป็นอย่างดี
สมัยเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รัฐร่วมเอกชน รุ่น355 เขามีโอกาสรู้จักนักธุรกิจหลายคน
โดย เฉพาะอย่างยิ่ง จุลจิตต์ บุณยเกตุ ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นวปอ.ที่ต่อมาถูกชวนมาเป็นกรรมการในบริษัท
ททบ.5 โฮลดิ้ง
เส้นทางชีวิตของเขาจึงราบรื่นเอามากๆ ในระหว่าง ที่นั่งเป็นผู้อำนวยการช่อง
5
ชื่อของพลเอกแป้งติดอยู่ในโผที่จะได้ลุ้นเป็น ผบ.ทบ. แทนพลเอกเชษฐาที่เกษียณอายุราชการไปเมื่อปีที่แล้วด้วย
แต่น้ำขึ้นย่อมมีน้ำลง หลังการเปลี่ยนแปลงผู้บัญชาการกองทัพบก ที่มาพร้อมกับกระแสข่าวการต่ออายุสัญญาช่อง
7 ก่อนสัญญาเดิมจะหมดอายุหลายปี เพื่อเลี่ยงมาตรา 40 ซึ่งพลเอกแป้งเป็นหนึ่งในคณะกรรม
การกองทัพบกที่อนุมัติ และล่าสุดความไม่ชอบมาพากลในการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งคอมปานี
เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจลงจากเก้าอี้ผู้อำนวยการ ก่อนสิ้นสุดการเป็นผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์
ช่อง 5
พลเอกแป้งบอกว่า สองสิ่งที่เขาจะไม่ทำหลังเกษียณอายุ ก็คือ ไม่เล่นการเมือง
และไม่ทำธุรกิจโทรทัศน์ แต่จะไปทำงานที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ เรื่องของการประหยัดพลังงาน
"ผู้อำนวยการช่อง 5 ผมไม่ได้อยากมาเลย ผมมา ตรงนี้ผมฝืนใจนะ บังเอิญอยู่ตรงนั้นพอดี
ก็เลยถูกจับมาเป็นผู้อำนวยการ ผมมีเวลาในช่วงบั้นปลายผมจะไปทำสิ่งที่ตัวเองรัก
โทรทัศน์เป็นเรื่องสนุก แต่ไม่ใช่ทางของ ผมเลย" คำกล่าวของพลเอกแป้งที่ผิดกับตอนมาอย่าง
ลิบลับ