ช่วงเวลาไม่กี่เดือนหลังจากที่รูเพิร์ท เมอร์ด็อค-ประธานและ เจ้าของกิจการนิวส์คอร์ปซื้อกิจการสตาร์ทีวี
เขาได้ลั่นวาจาว่าเทคโนโลยีของเขา(หมายถึงโทรทัศน์) มีฐานะคุกคามระบบการปกครองเผด็จอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในจีนทั่วทุกหัวระแหง
ปฏิกิริยา ที่ทางการจีนตอบโต้เขาก็คือห้ามเอกชนครอบครองจานดาวเทียม แต่เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ข้อห้ามนี้ถูกยกเลิก และเมอร์ด็อค ได้ดื่มฉลองร่วมกับประธานาธิบดีเจียงเซียะหมินในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในบ้านพักรับรองของทางการจีนในปักกิ่ง
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของจีนและสหรัฐฯ ไม่ สู้จะราบรื่นนัก เช่นกรณีที่สหรัฐฯกล่าวหารัฐบาลจีนตามรายงานที่
ได้รับว่าจีนมีอัตราการละเมิดสิทธิมนุษยชนสูงมาก และรายงานที่ว่าทางการจีนอาจได้รับข้อมูลความลับนิวเคลียร์จากนักวิทยา
ศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งคณะกรรมการวุฒิสภาสหรัฐฯจะนำเสนอราย งานในเดือนมีนาคมนี้เกี่ยวกับรายละเอียดการขโมยข้อมูลเทคโน-โลยีทางทหารของจีน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดูไม่ราบรื่น แต่เหล่ายักษ์ใหญ่ด้านสื่อในสหรัฐฯ
กลับมองจีนว่าเป็นตลาดที่ยังไม่มีใครเข้าไปจับ และนักลงทุนสื่ออย่างเช่นเมอร์ด็อค
ระเรื่อยไปจนถึงไมเคิล ดี.ไอส์เนอร์แห่งดิสนีย์มีฐานะเป็นผู้บุกเบิกตลาดนี้ทีเดียว
สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมาก บริษัทวอลท์ดิสนีย์ กำลังเจรจากับทางการฮ่องกงเพื่อที่จะลงทุนสร้างสวนสนุก
(theme park) มูลค่า 2,000 ล้านเหรียญ และเป็นไปได้ว่าจะเจรจากับทาง การเซี่ยงไฮ้เพื่อที่จะสร้างสวนสนุกที่นั่นอีกเป็นแห่งที่สอง
ส่วนบิลล์ เกตส์ก็ปรากฏตัวที่เซินเจิ้นเมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมาเพื่อเปิดตัว
Venus WebTV ซึ่งเป็นชุด set-top box สำหรับผู้ชมเคเบิลชาวจีนใช้ท่องเข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ต
ว่าไปแล้ว ผู้ผลิตสื่อจากสหรัฐฯหลายรายยังเข้าไปในตลาด จีนที่มีประชากร
1,200 ล้านคนและมีโทรทัศน์เพียง 305 ล้านเครื่องได้ไม่มากนัก รายการโชว์จากต่างประเทศถูกจำกัดให้แพร่ภาพได้เพียง
25% ของรายการโทรทัศน์ทุกแห่ง ช่องของ ESPN, CNN และ MTV เป็นเคเบิลไม่กี่ช่องที่ทางการจีนอนุญาตให้แพร่ภาพได้
แต่ทว่าถูกจำกัดให้ออกอากาศได้ครั้งละ 1-2 ชั่วโมงตามโรงแรมที่มีนักธุรกิจและสถานที่ทำการรัฐบาลบางแห่ง
แกเรท ซี.ซี.ชาง ประธานบริหารสตาร์ทีวีซึ่งเป็นคนจีนโดยกำเนิดกล่าวว่า "ประเทศจีนมีความต้องการดูเนื้อหา(content)ในรายการต่างๆ
ซึ่งเราก็สามารถสนองตอบให้ได้" ทั้งนี้ สตาร์ทีวีเพิ่งผลิตรายการข่าวและสาระต่างๆ
โดยมีบริษัทของรัฐบาลร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วย
ทั้งนี้การมีหน่วยงานรัฐบาลเป็นพันธมิตรธุรกิจเป็นเรื่องจำเป็น และดูเหมือนว่ารัฐบาลก็ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจนี้
เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คณะเจ้าหน้าที่ของทางการจีนชุดหนึ่งได้เดินทางไปเยี่ยมชมสตูดิโอต่างๆ
ในฮอลลีวู้ดเพื่อมองหาพันธมิตรมาร่วมผลิตหนัง/ภาพยนตร์ ขณะเดียวกันบริษัทหนังในสหรัฐฯก็มองว่าหากได้ร่วมมือกับทางการจีน
พวกเขาก็อาจจะฝ่าข้ามข้อบังคับที่อนุญาตให้มีการฉายหนังต่างประเทศได้ปีละ
10 เรื่องเท่านั้น
เมื่อเร็วๆ นี้ดิสนีย์เปิดฉายภาพยนตร์เรื่อง Mulan ได้แล้ว ทั้งที่เมื่อ
3 ปีก่อนหน้านี้ทางการจีนเคยห้ามฉายภาพยนตร์เรื่อง Kundun ของดิสนีย์ซึ่งมีเนื้อหาแสดงความเห็นใจองค์ดาไลลามะแห่งทิเบต
การที่ทางการจีนเริ่มผ่อนปรนมากขึ้นนี้เชื่อว่าเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาลงในภูมิภาคนี้
การเจรจาธุรกิจกับบริษัทสื่อต่างชาติย่อมหมายถึงการสร้างงานให้ชาวจีน และการจัดรายการทีวีเพิ่มมากขึ้นก็ย่อมหมายถึงการเพิ่มรายได้ให้แก่สถานีโทรทัศน์และเคเบิลทีวีของรัฐมากขึ้นด้วย
บริษัท Baskerville Communications Corp. ในกรุงลอนดอนมีรายงานว่ามีการใช้งบโฆษณาในทีวีจีนถึง
2,100 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว และคาดว่างบตัวนี้จะเพิ่มเป็น 2,900 ล้านเหรียญในปีค.ศ.
2000
ฟิลิป ดี.ริช กรรมการบริหารบริษัท AC Nielsen"s Asian กล่าวว่า "เห็นได้ชัดเลยว่าคนจีนชอบดูทีวี
และพวกเขามีรายได้พอที่จะเอามาจ่ายเพื่อการนี้ มันเป็นรายได้มากกว่าที่พวก
ตะวันตกคิดเสียอีก"
จริงๆแล้วการจัดรายการสไตล์อเมริกันส่งผลกระทบต่อชาวจีน เช่นหลังจากแพร่ภาพโฆษณาขายจักรยานแบบที่พับเก็บได้
ปรากฏว่าบริษัทอเมริกันผู้ผลิตจักรยานแบบนี้ได้รับคำสั่งซื้อถึง 100,000
ชิ้นใน 1 สัปดาห์ นี่เป็นข้อมูลจากเอลิซ่า เอ็ม.ไมเออร์ส ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีสมาชิกอยู่
420 ราย
สิ่งที่คนจีนสนใจไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างทางการจีน-สหรัฐฯ
หรือเรื่องจักรยาน พวกเขาต้องการรายทีวีโชว์ต่างหาก เมื่อถามนักเรียนไฮสคูลอายุ
16 ปีในปักกิ่งที่ชื่นชอบภาพยนตร์การ์ตูน "ทอมกับเจอร์รี่" อย่างมากด้วยแล้ว
เขากล่าวขณะกำลังเคี้ยวแฮมเบอร์เกอร์ว่า "การ์ตูนจีนเทียบทอมกับเจอร์รี่ไม่ติดหรอก
การ์ตูนอเมริกันมีความรื่นเริงสนุกสนานมากกว่าหลายเท่า และเนื้อเรื่องก็ดีกว่าด้วย"
เทด เทอร์เนอร์เองยังไม่เคยพูดแบบนี้ด้วยซ้ำไป!