Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2542








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2542
อุตสาหกรรมยาไทย "เบี้ยหัวแตก"             
 


   
search resources

แอสต้า
สิทธิชัย โอฬารกุล




ผลกระทบจากความเลวร้ายรุน แรงด้านเศรษฐกิจในปีนี้ทำ ให้อุตสาหกรรมยาได้รับความเสียหาย อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะบรรษัทข้ามชาติทั้งหลายที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ขณะที่บริษัทท้องถิ่นกลับเติบโตขึ้นแม้จะไม่มากก็ตาม แต่นั่นสะท้อนให้เห็นถึงแนวความคิดของการบริโภคของผู้บริโภค ที่พยายามทุกวิถีทางที่จะใช้เงินอย่างประหยัดในการรักษาสุขภาพของตนเอง นั่นคือ เลือกซื้อยาในราคาที่ต่ำโดยมองเรื่องคุณภาพเป็นอันดับรอง

ปี 2541 มูลค่าตลาดโดยรวมทั่วไปของธุรกิจยาในประเทศไทยหดตัวลงเหลือประมาณ 29,120 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 6% จากเดิมเมื่อปี 2540 ตลาดรวมธุรกิจยามีมูลค่าประมาณ 31,000 ล้านบาท

"จากตัวเลขที่หดตัวลงมี 2 ส่วน ส่วนแรกบริษัทข้ามชาติจะได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉลี่ยติดลบประมาณ 19% ขณะเดียวกันบริษัทยาท้องถิ่น เช่น องค์การเภสัชกรรม ไทยนครพัฒนา กลับโตขึ้นประมาณ 10-20% ซึ่งถ้าดูตัวเลขการโตของบริษัทยาท้องถิ่นโดยเฉลี่ยแล้ว ในปีที่ผ่านมาโตขึ้นประมาณ 3.3%" สิทธิชัย โอฬารกุล กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท แอสตร้า (ไทย) จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ ธุรกิจยาไทยในช่วงขาลง

เหตุผลที่เกิดการสวนทางกัน เกิดจากความตระหนก ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกำลังการซื้อที่ลดลง ส่งผลให้การนึกถึงสุขภาพย่อมหายไปด้วย แม้ไม่มากถ้าเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่คนเหล่านี้ยังนึกถึงเรื่องสุขภาพเป็นอันดับต้นๆ อยู่ อีกทั้งรัฐบาลไทยยังส่งเสริม หรือเข้ามาเข้มงวดในเรื่องการประหยัด การตัดงบประมาณแม้กระทั่งการจำกัดรายการสำหรับการซื้อยาในโรงพยาบาล

"หลังจากเศรษฐกิจตกต่ำ ทางการมีนโยบายให้โรงพยาบาลแต่ละแห่งหันมาใช้ยาที่ผลิตภายในประเทศเพราะราคาถูกกว่า ทำให้เอื้อประโยชน์ต่อบริษัทผลิตยาท้องถิ่น ในเวลาเดียวกันมีผลกระทบต่อบริษัทข้ามชาติ คือ ขายไม่ได้" สิทธิชัย กล่าว

สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการเช่นนี้ สิทธิชัยตั้งข้อสังเกตว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ รัฐบาลสมควรจะเน้นเรื่องประหยัด มากกว่าคุณภาพหรือไม่ เพราะถ้ารัฐบาลใช้นโยบายดังกล่าว จากการคำนวณของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2541 จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อยาได้ 600-800 ล้านบาท นี่คือเม็ดเงินที่กระทรวงสาธารณสุขประสบความสำเร็จ ขณะที่กระทรวงการคลังกลับได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว คือ การเก็บภาษีกับบรรษัทยาข้ามชาติขนาดใหญ่จำนวน 48 แห่งที่เป็นสมาชิกของสมาคมผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์ (PPA) หายไปจากเดิมประมาณ 1,400 ล้านบาท ทั้งๆ ที่รัฐควรจะได้

"เรามองดูว่าบางทีการทำงานของกระทรวงหรือหน่วย งานจะเป็นลักษณะตัวใครตัวมัน เหมือนกับการเล่นดนตรีที่เล่นเดี่ยวๆ ไม่เล่นเป็นวง แต่จะไม่ได้ดูการเชื่อมโยงต่อกัน ถ้ามองในภาพของกระทรวงสาธารณสุขก็คงจะเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว คือ สามารถประหยัดเงินลงได้อย่างมาก แต่มันถูกทางหรือไม่ โดยการซื้อยาถูกแต่คุณภาพยังเป็นที่กังขาเล็กน้อย อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตต่อคนไข้" สิทธิชัย ให้ทัศนะ

หลายคนสงสัยว่าบริษัทท้องถิ่นอาจจะสามารถจ่ายภาษีชดเชยในส่วนที่ขาดหายได้ นั่นเป็นข้อสงสัยที่ไม่ถูกต้อง "เพราะบริษัทยาท้องถิ่นมีอัตราการเติบโตขึ้นเพียง 3.3% เท่า
นั้น หมายถึงทุกคนแข่งขันกันด้วยราคา ดังนั้นกำไรจะไม่มี บางบริษัทขายเท่าทุนเพื่อให้อยู่รอดเท่านั้นแล้วจะนำเงินที่ไหนมาเสียภาษี"

บรรษัทยาข้ามชาติตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่าเมื่อสามารถประหยัดเงินได้ 600-800 ล้านบาท แต่กลับเสียโอกาสจากเขาไป 1,400 ล้านบาท ขณะเดียวกันสุขภาพของคนไทยไม่เหมือนก่อน เพราะในยุครุ่งเรืองแพทย์มีสิทธิ์เลือกสั่งยาให้คนไข้ "เพราะแพทย์ทุกคนจะต้องรู้ว่ายาตัวไหน ที่พิสูจน์แล้วและเหมาะสมต่อคนไข้ แต่ขณะนี้ความเป็นอิสระในการใช้ยาของแพทย์ถูกจำกัดลงด้วยนโยบายของรัฐ"

อย่างไรก็ดี สิทธิชัยไม่ได้สงสัยในเรื่อง ความแตกต่างของคุณภาพระหว่างบริษัทยาท้องถิ่นกับบรรษัทยาข้ามชาติ "ยาที่ผลิตในประเทศอาจจะสู้ ได้ถ้ามีการควบคุณภาพให้ดี" เหตุผลที่เขายกขึ้นมาสำหรับราคายาที่ผลิตจากบรรษัทข้ามชาติสูงกว่าภายในประเทศเกิดจากต้นทุนการผลิตสูง โดยเฉพาะงบประมาณที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนาจำนวน 18-20% ของยอดขาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับบริษัทเมื่อยาถึงมือคนไข้แล้ว

"ถามว่าบริษัทท้องถิ่นทำได้หรือไม่? เขาก็ทำได้ซึ่งต้องมีการควบคุมที่ดี แต่ปัจจุบันคุณภาพยายังมีน้อยมาก จากการสำรวจของสมาคมผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์ (PPA) ปรากฏว่าประมาณ 1 ใน 3 เป็นยาที่ได้คุณภาพ ที่เหลือ ลืมไปได้เลย" สิทธิชัย กล่าว

นอกจากนี้อุตสาหกรรมยาในประเทศไทยเป็นไปในลักษณะ "เบี้ยหัวแตก" ซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน การแข่งขันรุนแรงอย่างมาก อย่างเช่น แอสตร้า (ไทย) ล่าสุดมีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 1.8% ถ้าเทียบกับบรรษัทยาข้ามชาติด้วยกันแล้วอยู่อันดับ 9 ขณะที่อันดับ 1 คือ เฮิกซ์ เมเรียน รูซเซล (ประเทศไทย) มีส่วนแบ่งการตลาด 3.28% เท่านั้น ซึ่งไม่ต่างกันเท่าไหร่ "มันเป็นเบี้ยหัวแตกและไม่เคยมีใครมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 5% แม้ว่าเศรษฐกิจจะดีแค่ไหนก็ตาม บริษัทยาข้ามชาติบางแห่งมียอดขายต่อปีไม่ถึงล้านบาทเลย"

ประกอบกับความผันผวนทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2540 และรุนแรงอย่างมากในปีต่อมา ส่งผลให้ต้นทุนยานำเข้าได้พุ่งพรวดพราดจนไม่สามารถควบคุมได้ ขณะเดียวกันบรรษัทยาข้ามชาติเหล่านี้ยังไม่ได้รับโอกาสจากรัฐบาลไทยในการขึ้นราคามาเป็นเวลา 2 ปี ดังนั้นยุทธศาสตร์เพื่อเอาตัวรอดของบรรษัทยาข้ามชาติ คือ การหยุดนำเข้ายาบางชนิดที่ไม่คุ้มกับต้นทุน นอกจากนี้ยังพยายามหาทางผลิตยาในประเทศเพื่อลดต้นทุน เช่น แอสตร้า (ไทย) ยาประมาณ 55% ได้ให้บริษัท โอลิค จำกัด เป็นผู้ผลิตยาป้อนให้บริษัท แม้กระทั่งการหั่นทอนงบประมาณในด้านการประชุม แพทย์ในต่างประเทศ การสนับสนุนด้านวิชาการ ซึ่งแอสตร้า (ไทย) สามารถประหยัดเงินไปได้ 10% ในปีที่ผ่านมา

"กำไรของแอสตร้าในปี 2541 ก่อนเสียภาษียังพอมีอยู่บ้างแต่เมื่อเสียภาษีแทบจะไม่เหลืออะไรเลย แต่ก็พอหายใจได้แต่หายใจแรงๆ ไม่ได้ ที่เราอยู่ได้เพราะบริษัทแม่ช่วยเหลือ แต่ถ้าบริษัทนี้เป็นของผมถ้าสถาน การณ์เป็นอย่างนี้คงจะปิดกิจการไปแล้ว" สิทธิชัย กล่าว

ในปี 2542 อุตสาหกรรมยาในสายตาของสิทธิชัย ยังมีความไม่แน่นอนอยู่เหมือนเดิม แต่คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นบ้างเมื่อคนหันมาใช้เงินเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะร้านขายยาน่าจะได้รับผลดีขึ้น ส่วนโรงพยาบาลอาจจะมีอาการทรงๆ เนื่องจากติดปัญหานโยบายรัฐบาลที่เน้นความประหยัด แม้ว่าจะมีบัญชีหลักออกมาทำให้โรงพยาบาลสามารถจัดซื้อยาได้มากขึ้นก็ตาม ดังนั้นโอกาสที่บริษัทยาจะขายยาได้หรือไม่ได้ยังดูไม่ชัดเจน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us