Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2542








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2542
"ลีนุตพงษ์" กับฟางเส้นสุดท้าย             
 

   
related stories

เยซุส คอร์โดบา ประกาศเดินหน้า BMW ในไทยต่อ ไม่สนข่าวลือ "แม่ถูกเทกฯ"

   
search resources

ยนตรกิจ กรุ๊ป




ความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่าง BMW AG กับกลุ่มตระกูล "ลีนุตพงษ์" ที่มีมาช้านานนับตั้งแต่ปี 2504 เป็นอันต้องหักสะบั้นลง ภายหลังที่ BMW AG พลิกแผนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเอง โดยไม่มีการร่วมทุนรวมกับกลุ่ม "ลีนุตพงษ์" ตามแผนที่เคยวางไว้ ท่าม กลางความคลุมเครือที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมชี้แจงถึงเหตุผลที่กระจ่างชัด ให้แต่เพียงเหตุผลกว้างๆ ว่า "บริษัทแม่จะเข้ามาดำเนินการด้านการตลาดเอง" แต่แล้วเหตุใดบริษัทแม่จึงต้องเข้ามาสร้างโรงงานประกอบรถยนต์เองด้วยทั้งๆ ที่ยนตรกิจเองก็มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และประกอบรถยนต์อยู่แล้ว ภายใต้การนำเข้าและจัดจำหน่ายโดยบริษัท ไทยยานยนตร์ ที่ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2510 เพื่อรองรับการขายส่ง BMW เท่านั้น

แผนแรกของบริษัทแม่คือต้องการเข้ามามีฐานการผลิตในไทยผ่านทางกลุ่ม "ลีนุตพงษ์" แต่ยนตรกิจไม่มีนโยบายให้ใครเข้ามาถือหุ้นในกลุ่มตระกูลของตัวเองอยู่แล้ว และเมื่อเศรษฐกิจมีอันเป็นไป "ลีนุตพงษ์" ก็ยังยืนกรานที่จะไม่ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นของกลุ่มตนให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย อันสร้างความบีบคันให้แก่คนทำธุรกิจในการดิ้นเพื่อจะอยู่รอด

"ลีนุตพงษ์" ผู้บริหาร "ไทยยานยนตร์" จากที่เคย เป็นผู้นำเข้ารถยนต์ BMW แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เริ่มมองหาช่องทางในการสร้างรายได้ด้วยการนำเข้ารถยี่ห้ออื่นเข้ามาขายด้วย ภายใต้ชื่อ "ยนตรกิจ กรุ๊ป" ซึ่งแต่ละยี่ห้อล้วนเป็นคู่แข่งของ BMW นี่เป็นชนวนหนึ่งที่ทำให้บริษัทแม่เริ่มมีการเปลี่ยนท่าที

การจับปลาหลายมือของยนตรกิจในวันนั้น ทำให้ปลาตัวใหญ่หลุดมือไป คือทั้ง BMW และ FORD ในกรณีของ FORD คงไม่ทำให้ "ลีนุตพงษ์" เจ็บปวดเท่ากรณีของ "BMW" แต่อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฝ่ายยังมีพันธะสัญญาทางใจต่อกันอยู่บ้าง คือ การประนี ประนอมผลประโยชน์ โดยบริษัทแม่ยังคงให้ "ไทยยานยนตร์" เป็นผู้ผลิต BMW ซีรี่ส์ 5 ไปตลอดจนครบ อายุรถคือประมาณอีก 5-6 ปีข้างหน้า รวมทั้งให้ผลิตโครงตัวถังที่พ่นสีแล้วของซีรี่ส์ 3 ใหม่ ที่คาดว่าจะเริ่มผลิตในปลายปีนี้ และออกทำตลาดในปีหน้า รวมทั้งเซ็นสัญญาให้ "บาซาโลนา" เป็นดีลเลอร์จากฝั่งยนตรกิจ งานนี้ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายของ "ลีนุตพงษ์" ต่อการลดศักดิ์ศรีจาก "ผู้นำเข้า-ขายส่ง" เป็นเพียง "ตัวแทนจำหน่าย" ที่แทบจะไม่มีอำนาจในการต่อรองใดๆ

และสิ่งที่น่าคิดมากกว่านั้นคือ เมื่อใดที่ BMW ประเทศไทย สร้างโรงงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว"ลีนุตพงษ์" จะอยู่ในสถานะใด ซึ่งวันนี้ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจนนอกจากเห็นเงาลางๆ ว่า ฟางเส้นสุดท้ายต้องปลิว หายไปพร้อมกับประสบการณ์ที่ "ลีนุตพงษ์" ต้องเรียนรู้และพยายามไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับกลุ่มรถยนต์ที่ตัวเองจำหน่ายอยู่ทั้ง 5 ยี่ห้อ ซึ่งเป็นกลุ่มของโฟล์คสวาเก้น 3 ยี่ห้อตระกูลเยอรมันเช่นเดียวกับ BMW คือ โฟล์ค เอาดี้ และเซียท และอีก 2 ค่ายอิสระตระกูลฝรั่งเศสคือ เปอโยต์ และซีตรอง และ "ยนตรกิจ กรุ๊ป" อาจจำเป็นต้องเลือกชูรถยนต์ในกลุ่มที่คิดว่าจะสร้างภาพพจน์ที่ดีให้กลับมาได้ โดยสังเกตได้ว่าในปัจจุบัน "ยนตรกิจ กรุ๊ป" ค่อนข้างจะชู "เอาดี้" ซึ่งเป็นรถในเครือ ของโฟล์คสวาเก้นมากเป็นพิเศษ เพราะหากเปรียบเป็นมวยรุ่นแล้ว ค่อนข้างจะสูสีกับ BMW และสิ่งที่หวังว่าจะได้เห็นต่อไปในอนาคตคือ การประกาศปรับตัวของบริษัท ไทยยานยนตร์ ครั้งใหญ่

"เราตอบไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะเป็นเรื่องของการตกลงกันของทั้ง 2 ฝ่าย แต่เท่าที่ดูมา ทางยนตรกิจเขาก็มีการประกอบและนำเข้ารถยนต์ในเครือโฟล์กสวาเก้นด้วย และถ้าเขามีการขยายกำลังการผลิต เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น เขาอาจจะบอกว่าเขาไม่มีที่เพียงพอที่จะผลิตให้เราแล้วก็เป็นได้ และผมคิดว่า การผลิตหลายยี่ห้อในโรงงานเดียวกันคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก แต่ผมก็ยังตอบไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเราต้องยอมรับให้ได้" เป็นความเห็นของคอร์โดบา

แต่อย่างไรก็ตาม "ลีนุตพงษ์" ยังคงถือได้ว่าเป็นกลุ่มตระกูลเดียวและตระกูลสุดท้ายที่ยังคงดำเนินธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ที่ครบวงจร เริ่มตั้งแต่มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนและโรงงานประกอบรถยนต์ มีบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่าย รวมทั้งศูนย์บริการหลังการขายเป็นของตนเอง โดยที่ไม่ถูกกลืนกินจากต่างชาติดังเช่นกลุ่มตระกูลอื่นที่อยู่ในธุรกิจรถยนต์

คนทำธุรกิจต่างก็อยากได้ผลประโยชน์สูงสุดเป็นของตัวเองทั้งนั้น บริษัทแม่เขาถือว่าเขาเป็นเจ้าของธุรกิจ หากเขามองเห็นช่องทางอื่นในการที่จะให้ผลประโยชน์แก่เขาได้มากกว่าที่ได้อยู่ เขาย่อมที่จะเลือกทางนั้น โดยไม่สนใจว่าจะเด็ดหัวใครทิ้งบ้าง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us