เมื่อเอ่ยชื่อ พรวิทย์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮิกซ์
เมเรียน รูซเซล (ประเทศไทย) จำกัด คนทั่วๆ ไปคง จะไม่รู้จักแต่ถ้าคนที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรม
เวชภัณฑ์ยาแล้วรู้จักเขาเป็นอย่างดี เพราะเขาคือผู้บริหารบริษัทยาข้ามชาติเพียงไม่กี่คนที่เป็นคนไทย
เพราะโดยปกติแล้วบริษัทยาข้ามชาติโดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่จะอิม-พอร์ตคนของตัวเองเข้ามากุมบังเหียน
และที่น่าทึ่งพรวิทย์ไม่ได้จบการศึกษาทางด้านเภสัช เหตุผลอะไรที่ทำให้เฮิกซ์
เมเรียน รูซเซล ซึ่งเป็นบริษัทยายักษ์ใหญ่ตระกูลเยอรมันแห่งนี้ยอมรับในฝีมือเขา
"พรวิทย์ เป็นคนรอบคอบ สุขุมนุ่ม ลึกและไม่กลัว เขาเป็นคนที่กล้าตัดสินใจ
แม่นยำและไม่มีช่องโหว่เลย สไตล์การทำงานอย่างพรวิทย์นี้แหละที่คนเยอรมันชอบที่จะทำงานด้วย
ขณะที่ฝั่งอเมริกาชอบสไตล์โฉ่งฉ่าง" นี่คือความคิดเห็นของคนรอบข้างที่ให้คำจำกัดความต่อตัวพรวิทย์
ก่อนที่จะมาเป็น เฮิกซ์ เมเรียน รูซเซล ในอดีตกว่าร้อยปีที่ผ่านมา เฮิกซ์
เอจี ได้เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของวงการเวชภัณฑ์ด้วยการผลิตยาสำเร็จรูป
และได้มีส่วนในการวิจัยเวชภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงร่วมกับนักวิทยาศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบล
เช่น โรเบิร์ต ค็อกซ์, พอล เอห์ริช และเอมิล ฟอน แบริ่ง ตลอดจนแบนดิ้ง และเบสต์
ผู้ซึ่งประสบความสำเร็จในการผลิตอินซูลิน
ต่อมาเฮิกซ์ เอจี ได้เข้าไปรวมกิจการกับเมเรียน เมอเรล ดาวแห่งสหรัฐอเมริกา
เจ้าของผลิตภัณฑ์ยารักษาโรคต่างๆ เช่น ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยารักษาโรคภูมิแพ้
ยารักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร ยารักษาวัณโรค ขณะเดียวกันได้เข้าไปถือหุ้นใหญ่ในบริษัทรูซเซล
แห่งฝรั่งเศส ผู้มีความชำนาญในด้านการสังเคราะห์สารเคมีเพื่อใช้พัฒนาตัวยาใหม่ๆ
อีกทั้งยังเก่งในด้านฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะอีกด้วยซึ่งการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญด้านเวชภัณฑ์ทั้ง
3 แห่งเป็นบริษัทเดียวถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการดำเนินงานในยุคก่อนที่จะย่างก้าวเข้าสู่ยุคไร้พรมแดน
จากการรวมกันดังกล่าวสำนักงานของบริษัทข้ามชาติ เหล่านี้ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยจำต้องเลือกผู้บริหารให้เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น
ในที่สุดแคนดิเดตที่ดีที่สุดสำหรับ เฮิกซ์ เมเรียน รูซเซล (ประเทศไทย) คือชายชื่อพรวิทย์
พัชรินทร์ตนะกุล วัย 56 ปี
พรวิทย์ จบการศึกษาจากอัสสัมชัญพาณิชย์ เมื่อปี 2509 แล้วเข้าทำงานที่สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมเอเชียและแปซิฟิก
"ก่อนเข้าไปทำงานที่นั่นผมรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ตัวเรา คือ ไม่ใช่องค์กรธุรกิจ
ซึ่งความคิดหลังจากเรียนจบแล้วอยากเข้าทำงานในองค์กรเอกชน และเมื่อเข้าไปทำงานรู้ว่าคงจะอยู่ได้ไม่นาน"
พรวิทย์ เล่าถึงอดีต
การที่ได้เข้ามาทำงานที่เฮิกซ์ฯ พรวิทย์ เล่าว่า เป็นความบังเอิญอย่างมากเมื่อเพื่อนของเขาที่ทำงานในเฮิกซ์ฯ
มาก่อนได้เข้ามาบอกว่าบริษัทกำลังต้องการผู้ช่วยงานทางด้านบริหาร "ขณะนั้นทำงานอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมเอเชียและแปซิฟิกได้เพียง
9 เดือนเมื่อ เพื่อนมาบอกจึงตัดสินใจมาสมัครงาน ตามความตั้งใจของตัวเองที่ต้องการทำงานในองค์กรธุรกิจ
ทั้งๆ ที่เงินเดือนลด ลงเกือบ 25% แต่ก็ยอม"
ความตั้งใจเดิมของพรวิทย์ เมื่อได้เข้ามาทำงานในองค์กรที่ตัวเองฝันแล้ว
คือ พยายามเรียนรู้หาประสบการณ์ เพียง 10 ปี หลังจากนั้นจะออกไปทำธุรกิจตัวเอง
"แต่เมื่อเข้ามาที่เฮิกซ์ฯ กลับติดลมเพราะอยู่ที่นี่มาเกือบ 32 ปีแล้ว คิดว่าเป็นโอกาสที่เสริมความรู้ให้มากขึ้น
หมายถึงทำงานไปเรียนหนังสือไป" ซึ่งตำแหน่งแรกในเฮิกซ์ฯ ของพรวิทย์
คือ เป็นพนักงานขาย เพราะการเรียนรู้ให้เข้าใจธุรกิจคือการเข้าไปคลุกคลีกับธุรกิจอย่างถึงพริกถึงขิง
นอกจากจะทำงานด้วยแล้วพรวิทย์ ได้ไปศึกษาต่อในหลักสูตรปริญญาตรี (ภาคค่ำ)
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2515 จากนั้นปี 2519 สอบชิงทุน
Fulbright ได้ จึงเดินทางไปศึกษาต่อด้านการบริหาร (MBA) ที่มหาวิทยาลัยมิสซูรี
สหรัฐอเมริกา เมื่อสำเร็จการศึกษาได้ไปทำงานกับบริษัทแม่ในเยอรมนีเป็นเวลา
2 ปี และตำแหน่งล่าสุดก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง สูงสุดในปี 2539 คือ ผู้จัดการฝ่ายของบริษัทประจำประเทศไทย
จากวันนั้นถึงวันนี้ชีวิตการทำงานของพรวิทย์ในเฮิกซ์ฯ เต็มไปด้วยความสุขแม้ผลการดำเนินงานของบริษัทกำลังอยู่ในช่วงอาการย่ำแย่ก็ตาม
เพราะในปี 2541 ยอดขายบริษัท ยาข้ามชาติในไทยหดตัวลงประมาณ 20% ขณะที่บริษัทยาท้องถิ่นกลับสวนทางที่มียอดขายเพิ่มขึ้น
เนื่องจากกระทรวง สาธารณสุขมีนโยบาย "สุขภาพดี ต้นทุนต่ำ" ออกมาเพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจ
ดังนั้นงบประมาณ ในการซื้อยาตามโรงพยาบาลรัฐบาลซึ่งเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายขนาดใหญ่ของเฮิกซ์ฯ
เกือบ 70% ถูกจำกัดภายใต้ข้อกำหนด ขอ IMF เมื่อเป็นเช่นนี้ลูกค้าของเฮิกซ์ฯ
จึงหันมาใช้ยาที่ผลิตจากบริษัทท้องถิ่นมากขึ้นเพราะราคาถูกกว่า ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนคนไข้ก็เริ่มลดลงไปตามสภาวะเศรษฐกิจ
โดยหันมาซื้อยากินเองหรือยอมทนเข้าแถวเพื่อรอรับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐบาล
"เวลาเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อไปโรงพยาบาลคนไข้ก็ไม่ได้ยาซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาถึงเราที่ไม่สามารถขายได้
เนื่อง จากหมอสั่งยาที่ถูกกว่าให้คนไข้" พรวิทย์ กล่าว ส่งผลกระทบ ที่เขากล่าว
คือ บริษัทยาข้ามชาติขาดทุนสุทธิจากผลประกอบ การที่เรื้อรังมาตั้งแต่ปลายปี
2539
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของพรวิทย์ ที่ต้องการเห็นการฟื้นตัวของบริษัท คือ การพยายามรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ของตัวเองเอาไว้ให้ดีที่สุด
อีกทั้งยังได้นำยาแก้แพ้ซึ่งเป็นยารุ่นใหม่ของบริษัทเข้ามาจำหน่าย โดยได้นำเข้ามาในช่วงกลางปีที่ผ่านมาปรากฏว่าสามารถมีส่วนแบ่งการตลาดในโรงพยาบาลได้แล้ว
6-7% นอกจากนี้ยังมีกลุ่มยาช่วยการไหลเวียนของโลหิตซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ยาของเฮิกซ์ฯ
ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในไทยและมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 30% เป็นตัวหลักในการกระตุ้นยอดขายให้สูงขึ้น
จากแนวความคิดดังกล่าวแสดงว่าเฮิกซ์ฯ รวมทั้งบริษัทยาข้ามชาติอื่นๆ จะไม่ใช้กลยุทธ์ในเรื่องราคาเป็นตัวตัดสินในการทำตลาด
"เราจะใช้คุณภาพยาทำการแข่งขัน หมายถึง จะให้คนไข้หรือหมอเป็นผู้ตัดสินใจในการเลือกว่าจะซื้อยาค่ายไหนในการรักษาโดยที่ไม่มองเรื่องราคา"
แต่ แนวความคิดดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ได้ผลในช่วงเศรษฐกิจขาลง เพราะแม้แต่นโยบายเบื้องบนที่สั่งลงมาจากทางราชการยังให้เน้นเรื่องราคาเป็นหลัก
"ความแตกต่างของราคาระหว่างยาที่ผลิตจากบริษัทข้ามชาติกับบริษัทยาท้องถิ่น
ถ้าสูตรเดียวกันบางชนิดแตกต่างกัน 30% บางชนิด 50% หรือบางชนิดมีความแตกต่างกันสูงถึง
5 เท่าตัว เหตุผลเพราะก่อนที่จะมาเป็นตัวยาได้มันมีระบบการควบคุมคุณภาพ ซึ่งระบบดังกล่าวมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว
วัตถุดิบเราผลิตเอง วิจัยเอง ยาแต่ละเม็ดได้มาด้วยการลงทุนและการผลิตให้ได้คุณภาพ
นั้นเป็นเรื่องจรรยาบรรณ ดังนั้นการผลิตยาจึงมีต้นทุนสูงมากซึ่งเราไม่สามารถที่ใช้ราคามาเป็นตัวนำในการดำเนินธุรกิจได้"
พรวิทย์ กล่าว
อย่างไรก็ตามเขายังมีความเชื่อว่าเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นธุรกิจยา ของบริษัทยาข้ามชาติจะดีขึ้นตามไปด้วยแต่จะฟื้นช้ากว่า
เนื่องจากกฎเกณฑ์ทางราชการที่กำหนดไว้แล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ
"แน่นอนว่าการสั่งให้ซื้อยาถูกหรือใช้ราคาเป็นตัวตัดสินก็ยังคงมีอยู่ต่อไป"
นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้วระดับการแข่งขันธุรกิจยาในไทยยังถือว่าอยู่ในขั้นรุนแรง
เนื่องจากเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นปกติ ถ้าเป็นปกติจะออกมาในรูปเมื่อหมอเขียนใบสั่งยาให้คนไข้
จากนั้นก็ไปหาซื้อยาเอง "แต่การแข่งขันที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ คือ เมื่อหมอเขียนใบสั่งยาแล้วก็บอกให้คนไข้ไปซื้อตามโรงพยาบาลนั้นๆ
สมมติหมอบอกให้ซื้อยา A แล้วให้ไปซื้อในโรงพยาบาลนั้นๆ แต่อาจจะไม่ได้ยา
A ก็ได้ อาจจะได้ยา B ในสูตรเดียวกับยา A แต่ราคาถูกกว่า ดังนั้นการแข่งขันในไทยนอกจากเรื่องคุณภาพแล้วยังต้องดูอีกว่าขายถูกหรือไม่
ซึ่งระเบียบ การจัดซื้อยายังมองเรื่องราคาเป็นตัวตัดสินทำให้การแข่งขันไม่เสรี
กฎเกณฑ์เองยังไม่เปิดให้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่เพราะยังมีการบิดไปบิดมาอยู่"
ดังนั้นแม้ว่าแนวความคิดของพรวิทย์ ที่ต้องการออกไปเผชิญโลกตามแบบฉบับที่ตัวเองต้องการ
ยังไม่จางหายไปไหน แต่จากสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่กำลังสุกงอมในปัจจุบันแน่นอนว่าเขาต้องเลือกองค์กรอย่างเฮิกซ์ฯ
เป็นอันดับแรก "ตอนนี้ยังอยากทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่ภาระกิจในเฮิกซ์ฯ ยังมีอีกมากที่ผมต้องสะสางและทิ้งไม่ได้"
พรวิทย์ กล่าวปิดท้าย