Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2543








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2543
เศรษฐกิจเอเชียฟื้นแต่ยังไม่ดี             

 





เศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกดูเหมือนดีขึ้นกว่าเมื่อสามปีก่อนแล้ว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศพ้นจากสภาพวิกฤติอย่างสิ้นเชิง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหากดูจากกรณีของอินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์แล้วจะพบ ว่าทั้งสามประเทศยังไม่สามารถสะสางปัญหาหนี้เสียได้ถึงระดับ ที่น่าพอใจ และแม้ว่าทั้งสามประเทศจะคาดหมายอัตราเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อยู่ ที่ราว 3-6% ในปีนี้ แต่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์การเงินกลับง่อนแง่น ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซีย ที่เคยปิด ที่ระดับสูงกว่า 7,000 รูเปียต่อดอลลาร์ เมื่อปลายปีที่แล้ว ขณะนี้ตกลงอยู่ ที่ราว 9,000 รูเปียต่อดอลลาร์ เงินบาท ที่เคยอยู่ในระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ตกลงมา ที่ต่ำกว่า 41 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการอ่อนค่าที่สุดในรอบ 10 เดือน ขณะที่เงินเปโซของฟิลิปปินส์ลดลงราว 11% จากระดับสูงสุดเมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา โดยอยู่ ที่ราว 45 เปโซต่อดอลลาร์

เมื่อสามปีก่อน นักลงทุนพากันหนีหายจากตลาดเอเชีย ไปเพราะความหวาดวิตกกับสภาพเศรษฐกิจ ที่เต็มไปด้วยหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และการลงทุนเกินขนาด โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ประเด็น ที่นักลงทุนกำลังหวาดวิตกอยู่ในขณะนี้คือ เรื่องเสถียรภาพทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความรุนแรงในอินโดนีเซีย ความล้มเหลวในการบริหารประเทศของฟิลิปปินส์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา และความไร้ทิศทางของการเลือกตั้งใหม่ในไทย

สาเหตุที่นักลงทุนหันมาสนใจประเด็นทางการเมืองก็เพราะเห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลต่างๆ ในการกอบกู้วิกฤติทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการปัญหาหนี้สินของอินโดนีเซีย ขณะที่การแก้ปัญหาของหนี้เสียของไทยก็คืบหน้าไปไม่มากนัก โดยเฉพาะในกรณีธนาคารดีบีเอสไทยทนุ ซึ่งมีดีบีเอสแห่งสิงคโปร์ถือหุ้นบางส่วนอยู่ และดีบีเอสประกาศว่าจะขายหนี้เสีย 30.6 พันล้านบาทให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียกชำระหนี้ 2 แห่งคือ เนชันแนล ไฟแนนซ์ และหน่วยงานในเครือของเลห์แมน บราเธอร์สแห่งอเมริกา ซึ่งโดยหลักการแล้วเข้าทีเพราะทำให้ธนาคาร ตระหนักถึงภาระขาดทุน มุ่งหน้าทำธุรกิจให้ก้าวหน้าขึ้น ทว่า สิ่งที่ซ่อน เร้นอยู่ก็คือ ราคาขายหนี้เสียดังกล่าว ที่อยู่ ที่เพียง 29% ของมูลค่า ที่ตราไว้ ซึ่งนับว่าเป็นอัตรา ที่ต่ำอย่างยิ่ง

ตัวเลขดังกล่าวเป็นการให้ส่วนลดของสำนักงานปรับโครงสร้างภาคการเงิน ซึ่งถูกมองว่าไม่สามารถสะสางภาระหนี้ของประเทศได้ดีเท่า ที่ควร แม้ว่าจะมีการประมูลขายทอดตลาดสินทรัพย์ไปเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมาก็ตาม ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าไทยจะมีศาลล้มละลายกลาง และมีการปรับโครงสร้าง เพื่อจัดการกับปัญหาหนี้เสียแล้ว แต่หลังจากค่าเงินบาททรุดดิ่งลง 3 ปี หนี้ ที่ไม่ก่อรายได้ของไทยก็ยังมีสัดส่วนกว่า 35% ของยอดรวม เนื่องจากหนี้ ที่มีการปรับโครงสร้างแล้วกลับกลายเป็นหนี้เสียซ้ำเป็นรอบ ที่สองหรือสามอีก

ส่วนในฟิลิปปินส์ ซึ่งไม่ได้เผชิญกับวิกฤติหนี้ต่างประเทศรุนแรงนักในช่วงปี 1997-1998 แต่ก็ยังต้องสะสาง ปัญหาของธนาคารชาติแห่งฟิลิปปินส์ (Philippines National Bank) หรือพีเอ็นบีต่อไป หลังจาก ที่พีเอ็นบีปล่อยกู้เกินขนาดไปมหาศาล และแม้ว่าได้ประมูลขายหุ้นส่วน ที่รัฐบาลถืออยู่ 30% ไปเมื่อเร็วๆ นี้ แต่ก็มีผู้ประมูลรายเดียวคือ ลูซิโอ ตัน ซึ่งเป็นพันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับประธานาธิบดี อีกทั้งตันก็ถือหุ้นของพีเอ็นบีอยู่แล้วถึง 46% และหนี้ ที่มีปัญหาจำนวน มากก็มาจากบริษัทอื่นๆ ที่ตันควบคุมอยู่นั่นเอง เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ไอเอ็มเอฟได้อนุมัติวงเงินกู้ยืมให้รัฐบาลฟิลิปปินส์อีก 314 ล้านดอลลาร์ แต่ข่าวการประมูลขายหุ้นของ พีเอ็นบีก็สร้างความความหวาดวิตกให้กับบรรดานักลงทุน ที่เกรงว่าการเล่นพรรคเล่นพวกในหมู่รัฐบาลจะยังดำเนินต่อไป

นอกจากนั้น แล้ว แม้แต่ในมาเลเซียเอง ก็ยังคงมีความวิตกกันในเรื่อง ที่รัฐบาลจะสะสางหนี้เสียอยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลประสบความสำเร็จกับการสะสางหนี้เสียได้บางส่วน ก็ทำให้การคาดหมายเศรษฐกิจมาเลเซียในระยะสั้น เป็นไปในทางที่ดี

ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกมีปัญหาหนี้ ที่ต้องสะสางกันต่อไปเช่นกัน แม้ว่าจะไม่รุนแรงเท่ากับสามประเทศดังกล่าวข้างต้นก็ตาม อย่างในกรณีเกาหลีใต้ กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ ที่รู้จักกันดีในชื่อ "แชโบล" ได้ส่งสัญญาณเตือนบางประการ เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ว่าหลังจาก ที่กลุ่มแชโบลได้ปรับปรุงบัญชีใหม่แล้วก็พบว่ากิจการต่างๆ ไม่บรรลุผลสำเร็จในการลดสัดส่วนของหนี้ต่อทุนให้ได้ตามเป้าหมาย ที่ 200% ในรอบสิ้นปีที่ผ่านมา แต่กระนั้น ก็ตาม รัฐบาลเกาหลีใต้ก็นับว่าสามารถสะสางหนี้เสียได้ดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนี้แล้ว

จริงอยู่ ที่ลำพังปัญหาหนี้เสียไม่ได้ฉุดรั้งให้อินโดนีเซีย ไทย และฟิลิปปินส์หยุดการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไว้ทั้งหมด เพราะภาคการส่งออกของทั้งสามประเทศยังเข้มแข็ง และความ สำเร็จของประเทศ เพื่อนบ้าน ที่ร่ำรวยกว่าก็ช่วยพยุงเศรษฐกิจ ของภูมิภาคไว้ได้ และหากค่าเงินไม่ทรุดดิ่งลงไปกว่านี้ การใช้จ่ายของผู้บริโภค ที่เพิ่มขึ้นในอินโดนีเซีย และไทยก็จะช่วยให้เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นได้ต่อไป แต่หากประเทศเหล่านี้ไม่สามารถ จัดการกับปัญหาหนี้เสียได้ลุล่วงแล้ว ในท้ายที่สุดก็จะฉุดรั้งเศรษฐกิจให้ถดถอยอีก

เนาวนิจ สิริผาติวิรัตน์ เรียบเรียงจาก The Economist August : 5 สิงหาคม 2000

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us