หลังจากเงียบเหงามานานเพราะบริษัทบีเอ็มดับเบิลยูเข้า มาทำตลาดรถบีเอ็มดับเบิลยูด้วยตัวเอง
แม้จะยังจ้างให้กลุ่มยนตรกิจผลิตรถบีเอ็มดับเบิลยูให้ในรุ่นซีรีส์ 5 ก็ตาม
แต่กลุ่มยนตรกิจก็หลบหน้าหลบตาไม่ยอมโอภาปราศรัยต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
มาจนปลายเทศกาลสงกรานต์จึงแจ้งข่าวการเซ็นสัญญา เพื่อผลิตชิ้นส่วนในประเทศและประกอบรถยนต์โฟล์คสวาเกน
พัสสาทใหม่ และรถยนต์ออดี้ เอ 6 ซึ่งจะเริ่มผลิตในเดือนมกราคม 2543 และนำออกจำหน่ายได้ในเดือนนั้น
โดยมีเป้าหมายการผลิตรถพัสสาทใหม่ 1,500 คัน และรถออดี้ เอ 6 อีก 500 คัน
และหากเศรษฐกิจไทยมีการ ขยายตัวดีขึ้น ทางกลุ่มก็ตั้งเป้าหมายไว้ด้วยว่าจะเพิ่มยอดการผลิตอีก
2-3 เท่าในปี 2546
พลกฤษณ์ ลีนุตพงษ์ กรรมการบริหารกลุ่มยนตรกิจ ผู้รับผิดชอบด้านโรงงานทั้ง
4 แห่งของกลุ่มและดูแลธุรกิจอุตสาหกรรมอื่นๆ ของกลุ่มกล่าวว่า "วัตถุประสงค์เบื้องต้นของการประกอบรถยนต์ดังกล่าวก็เพื่อรองรับตลาดภายในประเทศ
เป้าหมายการผลิตมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพในการประกอบมากกว่าเน้นเรื่องปริมาณ"
กลุ่มยนตรกิจมีประสบการณ์กว่า 20 ปีในอุตสาหกรรม ยานยนต์ในประเทศไทย โดยมีโรงงานประกอบรถยนต์
YMC Assembly ที่ลาดกระบัง ซึ่งจะใช้เป็นโรงงานเพื่อการผลิตรถพัสสาทใหม่
และออดี้ เอ 6 โรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิต รถยนต์ได้ทั้งสิ้น 30,000 คัน/ปี
แต่ตอนนี้จะใช้กำลังการผลิตไม่เต็มที่ โดยเริ่มผลิตพัสสาทและออดี้ในปีหน้า
2,000 คัน/ปี ผลิตเปอโยต์ 406 และ 306 รวม 3,000 คัน/ปี (รุ่นละ 1,500 คัน/ปี)
และรถบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 อีก 2,000 คัน/ปี
เท่ากับมีการใช้กำลังการผลิตเพียง 7,000 คัน/ปี พลกฤษณ์กล่าวว่า "กำลังการผลิตที่มีอยู่นั้นเราเตรียมไว้รองรับ
5-7 ปีข้างหน้า แต่ในช่วงเศรษฐกิจดีๆ นั้น เราเคยประกอบถึง 10,000 คัน/ปี"
นอกจากนี้กลุ่มยนตรกิจก็มีโรงงานในเครือที่ทำการผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ด้วยคือ
ATP, โรงงาน YKI และโรงงาน OTC ซึ่งร่วมทุนกับญี่ปุ่น
พลกฤษณ์กล่าวกับ "ผู้จัดการรายเดือน" ว่า "โฟล์คและยนตรกิจกำลังอยู่ระหว่างการศึกษารายการชิ้นส่วนในประเทศ
7 รายการ เพื่อดูว่าราคาของในประเทศถูกกว่าที่ผลิต จากต่างประเทศหรือไม่
และมีคุณภาพเป็นอย่างไร ซึ่งในการผลิตรถทั้งสองรุ่นนี้เรามีนโยบายการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ
อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกสัดส่วนได้"
รายการชิ้นส่วนในประเทศที่อยู่ระหว่างการศึกษาได้แก่ ยาง (ดูระหว่างมิชลิน,
บริดจสโตน และกู๊ดเยียร์), แบตเตอรี่, เบาะรถยนต์, วิทยุ, กระทะล้อ(แม็กซ์)
และสายไฟ เป็นต้น ซึ่ง 2 รายการหลังกลุ่มยนตรกิจก็มีโรงงานผลิตอยู่แล้วทั้งนี้
พลกฤษณ์เล่าด้วยว่า "สัญญานี้ถือเป็นครั้งแรกที่โฟล์คเข้ามา ประกอบรถยนต์ในไทย
เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยนัก เมื่อมาเห็นว่าไทยมีการประกอบชิ้นส่วนฯ
อยู่มากก็รู้สึกทึ่ง แต่เขาก็ต้องตรวจสอบดูคุณภาพว่าได้ตามมาตรฐานของเขาหรือไม่"
สัญญาการผลิตชิ้นส่วนในประเทศและการประกอบรถยนต์ครั้งนี้เป็นแบบ rolling
contract คือหากไม่มีการยกเลิก ก็สามารถต่ออายุสัญญาไปได้เรื่อยๆ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่
กับความพอใจในผลการดำเนินงานของกลุ่มยนตรกิจว่าจะสามารถ ทำให้กลุ่มโฟล์คสวาเกนที่เป็นบริษัทรถยนต์อันดับ
1 ในยุโรปและอันดับ 3 ของโลกพึงพอใจเพียงใดในเรื่องยอดขาย การตลาดและการผลิต
ในแง่ของยอดขายและการตลาดนั้น วิทิต ลีนุตพงษ์ กรรมการบริหารซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงก็ยังคงปิดปากเงียบ
รอเปิดเผยเมื่อมีการทำ commercial launch รถยนต์ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อใด
แต่เขาแย้มว่าเรื่องราคารถยนต์ทั้งสองรุ่นที่ผลิตในประเทศนี้ จะน่าดึงดูดใจมาก
ดร.โรเบิร์ต บุคเคลโฮเฟอร์ กรรมการบริหารฝ่ายการตลาดและการขายของโฟล์คสวาเกน
เอ จี และประธาน ประจำภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิกให้ความเห็นว่า "กลุ่มโฟล์ค
มีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยมาก ผมเชื่อว่ายอดขายรถยนต์เริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้วในปีนี้
และผมคิดว่าน่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป"
ทั้งนี้ ดร.บุคเคนโฮเฟอร์เห็นว่าตลาดเอเชียแปซิฟิกเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุดแห่งหนึ่ง
สำหรับการเติบโตในระยะยาว และเขาต้องการเพิ่มความมั่นคงให้แก่ตำแหน่ง ทางการตลาดของโฟล์คและออดี้ในภูมิภาคนี้
เขาเปิดเผยว่ากลุ่มโฟล์คมีลูกค้าในไทยประมาณ 25,000 คัน โดยในเอเชีย นั้นมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น
5.5% ในปี 2541 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีส่วนแบ่งฯ อยู่ในระดับ 4.5%
ด้านส่วนแบ่งในตลาดโลกนั้นก็เพิ่มขึ้นจาก 10.4% มา เป็น 11.4% ในปี 2541
จริงๆ แล้วกลุ่มโฟล์คตั้งเป้าหมายส่วน แบ่งตลาดโลกที่ 10% ตั้งแต่เมื่อ 2
ปีก่อน แต่สามารถทำได้ เกินเป้าหมาย มาปีนี้กลุ่มฯ ตั้งเป้าหมายในตลาดโลกไว้
12%
ดร.บุคเคนโฮเฟอร์กล่าวถึงการแข่งขันที่มีในทุกตลาด ว่า "การที่มีคู่แข่งในแต่ละตลาดเท่ากับเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าตลาดนั้นๆ
มีความสำคัญจริง เราอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันอยู่ตลอดเวลาและเรามียุทธวิธีต่อสู้กับการแข่งขันอย่างเข้มข้น"
ยุทธวิธีอย่างหนึ่งของกลุ่มโฟล์คฯ ก็คือการเสนอสินค้าให้หลากหลายที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยมีรถยนต์สำหรับ ตลาดแต่ละส่วน แม้จะเป็นตลาดลูกค้าเฉพาะที่เล็กที่สุดก็ตาม
(niche market) ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากลุ่มโฟล์ค พยายามดำเนินยุทธวิธีนี้
ทั้งนี้กลุ่มโฟล์คเป็นกลุ่มที่มีแบรนด์รถยนต์หลายยี่ห้อ มาก และแต่ละยี่ห้อก็มีฐานลูกค้าที่เข้มแข็ง
ได้แก่ ออดี้ เบนท์ลีย์ บูกัตติ ลัมบอร์กินนี่ โรลส์รอยซ์ เซียท สโกด้า โฟล์คสวาเกน
และโฟล์คสวาเกนเพื่อการพาณิชย์
"ยี่ห้อเหล่านี้มีรถยนต์ทุกประเภทซึ่งล้วนแล้วแต่มีรูปลักษณ์น่าดึงดูดใจ
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ขนาดเล็กไปจนถึงรถยนต์หรูหราหรือแม้แต่กระทั่งรถบรรทุกก็ตาม"
สำหรับยนตรกิจนั้น การประกาศให้ความร่วมมือในการผลิตจากกลุ่มโฟล์ค ถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของกลุ่มที่สามารถมัดใจกลุ่มผู้บริหารโฟล์ค
ให้มอบการสนับสนุนและความไว้วางใจแก่ยนตรกิจในการดำเนินการผลิตและการตลาด
ต่อไป พลกฤษณ์กล่าวตอนหนึ่งว่า "ผลจากความร่วมมือในครั้งนี้จะถูกใช้เป็นบรรทัดฐานเพื่อกำหนด
เป็นมาตรฐานต่อไปในอนาคตสำหรับการประกอบรถยนต์ CKD ในประเทศอื่นๆ"
ในการดำเนินการผลิตรถยนต์ทั้งสองรุ่นดังกล่าวนั้น กลุ่มยนตรกิจต้องลงทุนแต่ฝ่ายเดียวเป็นเม็ดเงินประมาณ
10 ล้านมาร์กเยอรมันเพื่อเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตบางอย่างคือลงทุน เรื่องการประกอบตัวถังประมาณ
80% ทั้งนี้โฟล์คจะถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ในเรื่องเชื่อมตัวถังรถยนต์ด้วยแสงเลเซอร์
(Laser Beam Welding) และคอมพิว เตอร์ ออกแบบสำหรับการสร้างจิกเพื่อการประกอบรถยนต์
ส่วนเม็ดเงินที่เหลือใช้ในการสร้าง paint shop และการปรับปรุงการประกอบรายการที่แตกต่างจากรถยนต์อื่นๆ
อนึ่ง เทคโนโลยี LBW นี้ถูกจำกัดการใช้งาน เฉพาะกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์เพื่อการแข่งขันรถยนต์แบบฟอร์มูล่า
1 หรือเพื่อผลิตรถต้นแบบเท่านั้น เพราะมีต้นทุนสูง มีกรรม วิธีที่ซับซ้อน
แต่วิศวกรโฟล์คสวาเกนได้พัฒนาและปรับปรุง จนสามารถนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในกระบวนการผลิตรถยนต์เชิงอุตสาหกรรม
และพัสสาทใหม่ เป็นรถยนต์รุ่นแรกจากโฟล์คที่ใช้เทคโนโลยีนี้
ส่วนกลุ่มโฟล์คนั้น แม้จะมีโรงงานร่วมทุน 2 แห่งใน จีนและประสบความสำเร็จในตลาดแห่งนี้สูง
แต่การลงทุนในไทยก็ถือเป็นแนวทางใหม่ที่สำคัญอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการมองตลาดและการคาดหมายของกลุ่มถูกต้อง
โฟล์คคงจะเติบโตได้อีกมาก