หลังจากทำดีลสำคัญ คือขาย สนามกอล์ฟอัลไพน์กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับให้กับทางบริษัทแอสซี
แอสเซ็ท ของดร.ทักษิณ ชินวัตร เรียบร้อยแล้ว วันนี้พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ก็ได้หันมาใช้เวลาทั้งหมดให้กับโรงเรียนนานาชาติเกศินี ซึ่งเพิ่งเปิดทำการสอนไปเมื่อกลางปี
2541
นับว่าเป็นโรงเรียนนานาชาติอีกแห่งหนึ่งที่ได้มีการเตรียมงานทุกอย่างพร้อมไว้หมดแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนทางด้านอาคารเรียน อุป-กรณ์การเรียนการสอน และบุคลา-กร
แต่ในขณะที่ยังไม่ได้ทำการเปิดสอน ต้องเจอกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกรวมทั้งเหตุการณ์ค่าเงินบาท
ลอยตัว การปิดสถาบันการเงินใน เมืองไทย แน่นอนสิ่งเหล่านี้มันย่อม กระทบโดยตรงต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งก็คือบรรดาลูกหลานในครอบครัวของ
บรรดาเศรษฐีที่เคยร่ำรวยและชาวต่างชาติที่ถูกว่าจ้างเข้ามาทำธุรกิจในไทย
รวมทั้งผู้ประกอบการเอง ที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในเรื่องต่างๆ เพิ่มขึ้นพร้อมกับกลุ่มลูกค้าหดหายไป
ก่อนหน้าที่จะมาทำธุรกิจโรงเรียนทางพงษ์ศักดิ์เองก็ได้มีการศึกษาพบว่า
โรงเรียนนานาชาติที่มีส่วนใหญ่ตกอยู่ใน ภาวะขาดทุนแทบทั้งสิ้นดังนั้นพอเอ่ยปากว่าจะสร้างโรงเรียนทีไร
ทางเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องใกล้ชิดก็ต่างพากันห้ามเอาไว้ทุกครั้งไป
"โรงเรียนคือธุรกิจที่ทำแล้วขาดทุน เป็นธุรกิจที่นายธนาคารไม่อยากคุยด้วย
เป็นธุรกิจที่รัฐบาลหลายยุคหลายสมัยให้ความสำคัญเหมือนลูกเมียน้อย"
พงษ์ศักดิ์เล่าให้ฟัง แต่เขาก็ยังยืนยันที่จะทำ ส่วนหนึ่งที่เขาต้องการทำธุรกิจโรงเรียน
ก็เพราะว่าในขณะนั้นตนเองกำลังมีลูกเล็กๆ และวางแผนอยากให้ลูกศึกษาในระบบโรงเรียนนานาชาติ
แต่ไม่อยากส่งลูกไปเมืองนอก ต้องการให้ลูกสัมผัสคลุกคลีกับวิถีชีวิตแบบไทยๆ
มากกว่า เพราะมั่นใจว่าถึงอย่างไรเมื่อโตขึ้นลูกก็ต้องกลับมาทำธุรกิจที่เมืองไทย
แต่จุดสำคัญที่สุดในการตัดสินใจอยู่ตรงที่ว่าได้สนใจกับระบบการศึกษาในเมืองไทยมานาน
หลังจากที่พบว่านักศึกษาที่จบปริญญาตรีหรือปริญญาโทหลายคน ที่เข้ามาร่วมงานในบริษัทของเขาถึงแม้จะมีคะแนนดีๆ
ประดับติดตัวกันมา แต่จะมีบุคลิกที่ไม่กล้าแสดงออกไม่กล้าแสดงความคิดเห็น
และทำงานด้านวิเคราะห์วิจัยได้ไม่ดีเท่าที่ควร
เมืองไทยยังมีระบบการศึกษาแบบเดิมๆ ที่ทำให้เด็กไม่กล้าแสดงออกเป็นสิ่งที่เขาเคยสรุปไว้
แล้วยังมีคำถามของตนเองอีกว่าถ้าบ้านเรายังมีระบบ การศึกษาแบบเดิมแล้วเด็กเราจะตามทันโลกหรือไม่
นั่นคือความตั้งใจ ประกอบกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของเขาอยู่ในช่วงที่กำลังซบเซาก็เลยตั้งใจจะหยุดพัฒนาที่ดิน
แล้วมารุกธุรกิจโรงเรียนอย่างจริงจัง และเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงเลยชักชวนเพื่อนฝูงที่เป็นเศรษฐีหลายคนซึ่ง
มีแนวความคิดเห็นตรงกัน ในเรื่องระบบการศึกษาของเมืองไทยมาร่วมเข้าหุ้น โดยใช้ที่ดิน
16 ไร่ ในหมู่บ้านเกศินีวิลล์ ย่านห้วยขวางซึ่งเป็นที่ดินดั้งเดิมที่ซื้อไว้เมื่อประมาณ
20 กว่าปีก่อน สมัยทำโครงการบ้านจัดสรร โครงการแรกในปี 2528
ดังนั้นพงษ์ศักดิ์จึงอาจจะแตกต่างกับเจ้าของโรงเรียนบางแห่งซึ่งเป็นนักจัดสรรที่ดิน
และสร้างโรงเรียนขึ้นมาเพื่อหวังที่จะขายโครงการที่อยู่อาศัยซึ่งอยู่รอบๆ
เพราะโครงการในหมู่บ้านเกศินีนั้นขายไปหมดนานแล้ว
โรงเรียนนานาชาติเกศินีได้ทำข้อตกลงกับ วอชิงตัน อินเตอร์แนชั่นแนล สคูล
(WIS) ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติที่เมืองวอชิงตัน ดี.ซี.ให้ส่งคนมาดูแลเรื่องหลักสูตรการเรียน
การสอนเพื่อให้เป็นไปตามระบบสากล รวมทั้งการคัดเลือกครูโดยทาง WIS ได้รับเอาโรงเรียนนานาชาติเกศินี
เป็นสาขาหนึ่งของเขา
จุดที่เขาประทับใจ WIS จนต้องเอากลับมาใช้ในเมืองไทยก็คือ เป็นโรงเรียนที่สอนแบบ
bilingual (ควบสองภาษา) คือภาษาหลักเป็นภาษาอังกฤษ ควบกับภาษาที่สองเช่นฝรั่งเศสและสเปน
และเป็นโรงเรียนที่ศึกษาค้นคว้าระบบแบบนี้มาประมาณ 30 ปี
นักเรียนในโลกอนาคตของพงษ์ศักดิ์ ตามปรัชญาของ WIS จะเน้นการศึกษาไปใน
3 เรื่องใหญ่คือ 1. ต้องพูดภาษาอังกฤษได้ 2. ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็น และ
3. ปลูกฝังให้เด็กเป็นคนช่างคิดช่างถาม ที่สำคัญคือไม่มีการบ้านใน เด็กเล็กเด็ดขาด
ส่วนที่เอาสอดแทรกดัดแปลง บ้างก็คือการเรียนพร้อมๆ ไปกับการเรียนรู้วัฒนธรรมไทย
โรงเรียนนานาชาติเกศินี ขออนุญาตในการเปิดสอนถึงชั้นประถมปีที่ 6 แต่ในปี
2542 นี้จะเปิดสอนตั้งแต่อนุบาลถึงประถม 1 ไปก่อน หลังจากนั้นก็จะทยอยเปิด
ไปเรื่อยๆ จนถึงป.6 และในอนาคต อาจจะขออนุญาตเปิดสอนต่อในระดับมัธยมปลาย
ปัจจุบันมีนักเรียน ประมาณ 110 คน
พงษ์ศักดิ์บอกว่าจำนวนนักเรียนที่เข้ามาในระยะเริ่มแรกนี้เป็นที่น่าพอใจ
แต่เขาจำเป็นต้องลดค่าเล่าเรียนลงครึ่งหนึ่งตามภาวะเศรษฐกิจ จากเดิมปีละประมาณ
4 แสนลดลงเหลือประมาณ 2 แสนบาทเท่านั้น และคงต้องยืนราคาดังกล่าวไปก่อนจนกว่าสถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้น
พงษ์ศักดิ์ใช้งบประมาณในการก่อสร้างอาคารเรียนประมาณ 150 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในเรื่องของหลักสูตร
บุคลากร และอุปกรณ์ ไปอีกจำนวนมาก เมื่อถามว่าคาดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนในการคืนทุน
เขาตอบว่าในช่วงเวลานี้แทบไม่ได้คิดเรื่องการคืนทุน แต่ทำใจไว้ตั้งแต่ในระยะแรกแล้วว่า
ถึงไม่ได้กำไร แต่ก็เป็นธุรกิจที่ทำให้คนไทยมีทางเลือกในการศึกษา
และเมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นเขาก็จะหวนคืนสู่สนามเก่าเรียลเอสเตท อีกครั้งหนึ่งแน่นอน