Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2542








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2542
บันทึกประวัติศาสตร์ ธ.นครธน ยังลอยคออยู่กลางมหาสมุทร             
 


   
search resources

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดนครธน




หลังจากผ่านการเสาะหาผู้ร่วมลง ทุนมานานถึง 2 ปีเต็มและผ่าน การเจรจามาหลายเดือนกับผู้ร่วมทุนที่น่าสนใจหลายราย ในที่สุดธนาคาร นครธน ซึ่งเป็นกิจการที่ก่อตั้งและบริหารโดยตระกูลหวั่งหลี ก็ได้ผู้ร่วม ทุนคือธนาคารสแตนดาร์ดชาร์-เตอร์ด และมีการลงนามในบันทึก ความเข้าใจร่วมกันไปแล้วเมื่อ 28 เมษายนที่ผ่านมา แต่การลงทุนในธ.นครธนของธ.สแตนดาร์ดชาร์-
เตอร์ดจะสำเร็จหรือไม่นั้น แผนการร่วมลงทุนครั้งนี้ต้องได้รับการยอมรับและอนุมัติจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสถาบันการเงิน ซึ่งในวันลงนามนั้นยังไม่ได้รับการอนุมัติ

ทั้งนี้ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในฐานะกรรมการในคณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (กปส.)เปิดเผยเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาของธ.นครธนว่ามี 3 แนวทางเลือกด้วยกัน คือ 1. ปิดกิจการธนาคาร 2. ทางการเข้าแทรกแซงและหาทางขายในภายหลังเหมือนกรณีธ.ศรีนครและธ.นครหลวงไทย 3. ให้ธ.นครธนเข้าโครงการขอความช่วยเหลือเพิ่มทุนในเงินกองทุนขั้นที่ 1 ตามมาตรการ 14 สิงหาคม

ในแต่ละทางเลือกนั้น ทางการจะมีภาระทางการเงินแตกต่างกัน และให้ผลในการสร้างความมั่นคงต่อสถาบันการเงินแตกต่างกันด้วย โดยการปิดแบงก์ตามแนวทางแรกนั้น เนื่องจากในตอนนี้ทางการประกาศรับที่จะค้ำประกันเงินฝาก ประชาชนและหนี้ของเจ้าหนี้ธนาคาร หากปิดแบงก์นครธน ทางการจะมีภาระการค้ำประกันจำนวน 40,000-50,000 ล้าน บาท

ดร.ประสารให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวทางแรกว่า "หาก ทางการไม่มีผู้ดูแลหรือผู้บริหารสินทรัพย์ที่มีความสามารถ ก็จะทำให้สินทรัพย์เสื่อมคุณภาพลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็น ในกรณีปิดสถาบันการเงิน 56 แห่ง และที่สำคัญจะทำให้ภาพพจน์การแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินไม่ค่อยดี แทนที่จะคืบหน้ากลายเป็นถอยหลังไป"

สำหรับทางเลือกที่สอง ทางการจะมีภาระทางการเงิน คือต้องเข้าไปเพิ่มทุนให้ธ.นครธนเพื่อตัดความเสียหายที่มีอยู่ ซึ่งหากใช้ตัวเลขประมาณการของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์-
เตอร์ด และธนาคารยูไนเต็ดโอเวอร์ซีส์ ซึ่งเป็นผู้สนใจร่วมทุนและได้ทำ due diligence แล้วปรากฏว่าต้องใช้เงิน 13,000-17,000 ล้านบาท หลังจากนั้นยังต้องเพิ่มทุนอีก 7,000 ล้านบาทเพื่อให้ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(capital adequacy ratio-car)ตามมาตรฐาน BIS 8.5% (แยกเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 = 4.25% และเงินกองทุน ชั้นที่ 2=4.15%)

วิธีนี้ทางการต้องใช้เงิน 20,000-24,000 ล้านบาทและ ทางการมีภาระต้องหาผู้บริหารที่มีความสามารถเข้าไปบริหาร งาน ซึ่งหากไม่สามารถฟื้นฟูกิจการให้ดีขึ้นได้ในระยะเวลาอัน สั้น ก็จะทำให้สินทรัพย์ธนาคาร เสื่อมคุณภาพลง เป็นภาระ ของทางการไม่จบสิ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็มีตัวอย่างให้เห็นกันอยู่แล้ว

ทางเลือกที่สามคือการมีผู้ร่วมทุน ซึ่งธนาคารก็มีการเจรจากับผู้สนใจร่วมทุนมานานหลายราย และปรากฏว่า เมื่อพิจารณาข้อเสนอของผู้สนใจร่วมทุนต่างๆ นั้น ข้อเสนอ ของธ.สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดมีสาระที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบ คือให้ทางการเข้าไปเพิ่มทุนจำนวน 13,000 ล้านบาทซึ่งจะทำให้เงินกองทุนของธนาคารไม่ติดลบ และทางการเป็นผู้ถือ หุ้นในสัดส่วน 70% แล้วทำสัญญาให้ธ.สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด บริหารสินทรัพย์ที่มีปัญหา ถ้าภายใน 5 ปีสามารถเรียกหนี้คืนได้เท่าไหร่ ทางการจะได้ 90% ของจำนวนที่เรียกคืนอีก 10% เป็นของธ.สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดเพื่อเป็นแรงจูงใจให้มีการเรียกหนี้คืน ซึ่งดร.ประสารกล่าวว่าประเมินว่าทางการอาจจะได้เงินจากการเรียกหนี้คืนประมาณ 5,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ทางการยังได้เรียกร้องข้อเสนออื่นอีกเช่น ให้มีการจัดสรรหุ้นให้ทางการจำนวนหนึ่ง โดยทางการไม่ต้องจ่ายเงินค่าหุ้น และยังได้ใบสำคัญแสดงสิทธิ์การซื้อหุ้นหรือวอร์แรนต์ซึ่งสามารถใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นได้ภายใน 5-7 ปี โดยคาดว่าทางการจะได้ผลตอบแทนจากหุ้นที่ได้เป็นโบนัสและวอร์แรนต์ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท สุทธิแล้วเท่ากับทางการเสียหาย 3,000-6,000 ล้านบาท ขึ้นกับราคาหุ้น ธ.นครธนในอนาคต

ดังนั้นเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบทั้งสามแนวทางนี้แล้ว จะเห็นว่าแนวทางที่สามเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของธ.นครธน ซึ่งรายละเอียดจากการเซ็นบันทึกความเข้าใจเมื่อปลายเดือน เมษายน ดังกล่าวก็สอดคล้องกับแนวทางที่สาม แต่ก็มีผสม กับแนวทางที่สองด้วยคือการใส่เม็ดเงินลงไปอีก 7,000 ล้าน บาทจากสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดและผู้ถือหุ้นเก่าซึ่งก็คือตระกูล หวั่งหลี (จำนวน 6,194 และ 808 ล้านบาทตามลำดับ-ดูตาราง)

วรวีร์ หวั่งหลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารนครธน เปิดแถลงข่าวครั้งสำคัญของธนาคาร ซึ่งปกติทั้งตัวเขาและธนาคารก็เป็นพวก low profile มาตลอด ถ้อย แถลงของวรวิร์สะท้อนให้เห็นความรับผิดชอบ การตัดสินใจ และคำขอบคุณผู้เกี่ยวข้องซึ่งมีน้ำหนักถึงครึ่งหนึ่งของคำแถลง

เขากล่าวว่าการลงนามในบันทึกความเข้าใจกับธนาคาร สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดครั้งนี้เป็น "การลงนามครั้งประวัติ ศาสตร์" ของธนาคารฯ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ปิดบังว่าแม้นการเจรจา กับธ.สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดจะสำเร็จลงแล้ว แต่เงื่อนไขทั้งหลายที่ทำกันก็ต้องได้รับการยอมรับจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ด้วย


ส่วนเหตุผลที่เลือกเอาธ.สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดนั้นวรวีร์ อธิบายว่าข้อเสนอของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดเรื่องการปรับโครงสร้างเงินทุนให้นครธนมี "ความน่าสนใจและความเป็นไปได้สูง" นอกจากนี้ยังจะช่วยให้ธนาคาร "ดำรงอยู่ได้ในระยะยาว อีกทั้งยังนำผลตอบแทนกลับคืนสู่ผู้ถือหุ้นเดิมและผู้ถือหุ้นปัจจุบัน รวมทั้งกองทุนฟื้นฟูสถาบันการเงินได้ในอนาคต" (ดูรายละเอียดแผนการปรับโครงสร้างเงินทุนของธนาคาร)

เหตุผลถัดมาวรวีร์มองในเรื่อง ความสามารถในการแข่งขันของนครธนในอนาคต ซึ่งสแตนดาร์ดชาร์-
เตอร์ดจะให้ความช่วยเหลือเรื่องเทคโนโลยีที่นครธนต้องการอย่างมาก เพื่อให้ธนาคารมีความสามารถในการ แข่งขันกับสถาบันการเงินต่างประเทศ ที่เข้ามาร่วมลงทุนกับธนาคารในประเทศรายอื่นๆ เหตุผลสุดท้ายเป็น เรื่องของความเชื่อมั่นของคณะผู้บริหารธ.นครธนที่ให้ความเชื่อมั่นต่อ แผนงานของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ว่าแผนการนี้จะได้รับการยอมรับอย่างดีจากผู้ถือหุ้นของธนาคาร

อินทิรา วัฒนเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.นครธนกล่าวว่า "โครงการนี้ถือเป็นการขอความช่วยเหลือเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 (ตามมาตรการ 14 สิงหาคม) อันนี้เป็นไปตามไกด์ไลน์ของการเข้าร่วมโครงการฯ โดยรวมแล้วไม่มีอะไรแตกต่าง รวมทั้งเรื่องโครงสร้างการบริหารด้วยที่อยู่ระหว่างการขออนุมัติ"

ประเด็นเรื่องการเข้าในโครงการขอความช่วยเหลือเพิ่มเงินกองทุนนี้ เป็นเรื่องที่มีความสงสัยกันมากในวันแถลงข่าว และยืดเยื้อต่อมาจนกลายเป็นประเด็นทาง "การเมือง" ที่รอให้รมต.คลังชี้ขาดด้วยแนวทางที่ว่าต้องมีการแก้ไขเงื่อนไขการขอเข้าโครงการฯ เพราะเงื่อนไขบางอย่างของธ.นครธนไม่เข้าข่ายที่จะได้รับความช่วยเหลือ หรือกล่าวในทางกลับกันคือทางการไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้หากใช้โครงสร้าง ของมาตรการ 14 สิงหาฯ

ทั้งนี้ในแผนการเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 โดยภาครัฐ มีรูปแบบวิธีการเพิ่มทุน รัฐบาลจะทำได้โดยวิธีออกเป็นพันธบัตรรัฐบาลที่สามารถซื้อขายได้ และอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้:

-ภายหลังจากการกันสำรองจนเต็มจำนวน และได้ตัดหนี้สูญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากเงินกองทุนต่อสินทรัพย์ เสี่ยงของเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่ำกว่าร้อยละ 2.50 รัฐบาลจะเตรียมพร้อมเพื่อเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงินดังกล่าว จนมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงสุดไม่เกินร้อยละ 2.50

- เมื่อผ่านเกณฑ์ข้างต้นแล้ว รัฐบาลจะเตรียมพร้อม เพื่อเพิ่มทุนให้กับเงินกองทุนชั้นที่ 1 อีกจำนวนหนึ่งไม่เกินจำนวนเงินทุนที่เพิ่มโดยผู้ลงทุนภาคเอกชน

อย่างไรก็ดี ปรากฏว่าธ.นครธนยังไม่ได้มีการกันสำรองจนเต็มจำนวน โดยตัวเลขสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารฯ(NPL) มีอยู่ประมาณ 23,047 ล้านบาท(เมื่อ 31 ธ.ค. 2541 และเพิ่มเป็นประมาณ 53% ในเดือนเมษายน 2542- วันแถลงข่าว) ขณะที่การดำรงเงินกองทุนของธนาคาร ก็ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (มี CAR 2.54% โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 1.50- ข้อมูลจากหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 3.15 ของงบการเงินเมื่อ 31 ธ.ค. 2541)

ในการนี้ วรวีร์ยอมรับว่า "หากได้เงินของกองทุนเพื่อ การฟื้นฟูฯ เข้ามาจำนวน 13,000 ล้านบาท ก็จะทำให้มีเงินกองทุนสำรองเต็ม 100% และหนี้เสียก็สำรองเรียบร้อยเป็น clean bank ไปเลย" วรวีร์เปิดเผยด้วยว่าการขอความช่วยเหลือจากทางการครั้งนี้ "ไม่เข้ามาตรการ 14 สิงหาคม เนื่องจากมีข้อกำหนดบางอย่างที่ไม่เข้าข่ายระเบียบดังกล่าว" นอกจากนี้เขายังย้ำด้วยว่า "แม้ลดทุนมาเหลือ 1 สตางค์ก็ยังไม่ cover ต้องเอามาอีก 13,000 ล้านบาท จึงจะครบ กองทุนฯ จึงจะเพียงพอ"

หลังจากธ.สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดเข้ามาควบคุมกิจการแล้ว วรวีร์และตระกูลหวั่งหลีจะลดอำนาจการบริหาร หรือแทบจะไม่เข้าไปยุ่งในตำแหน่งบริหารอีก ส่วนตัววรวีร์นั้นจะไม่ดำรงตำแหน่งทางการบริหาร เหลือไว้เพียงแค่การเป็นที่ปรึกษาธนาคารเท่านั้น

ทั้งนี้ คณะกรรมการธ.นครธนเมื่อสแตนดาร์ดชาร์
เตอร์ดเข้ามาแล้ว จะมีคนของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด 8 คน ฝ่ายนครธน 3 คน และจากกระทรวงการคลัง กองทุนฟื้นฟูฯ และกรรมการอิสระ รวมทั้งชุด 15 คน

วรวีร์เปิดเผยเกี่ยวกับการเซ็น MOU กับสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ซึ่งหลายๆ ฝ่ายมองว่าทำไมต้องรีบร้อนนัก ในเมื่อกองทุนฯหรือทางการยังไม่อนุมัติ เขากล่าวว่า "หลังจากที่เราประชุมคณะกรรมการแล้ว ก็เชื่อแน่ว่าทุกอย่างต้องกระจายออกไปสู่สาธารณะ ทุกคนรู้แล้ว ทีนี้เราจำเป็นต้องเซ็นสัญญาเพื่อให้มีข้อตกลงที่พอจะเผยแพร่ให้สาธารณะได้รับทราบ"

นอกจากนี้ เขายังได้ commit ไว้กับผู้ถือหุ้น และ ธนาคารแห่งประเทศไทยว่าแผนการปรับโครงสร้างของธนาคาร โดยเฉพาะแผนเพิ่มทุนนั้นต้องเรียบร้อยภายใน 30 มิถุนายน ศกนี้

หากกองทุนฯ ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงในแผน การปรับปรุงธนาคารฯ อีก ก็คงต้องมีการคุยกัน "หากเขาจะให้ผมเปลี่ยนแปลง ผมก็ไม่มีสิทธิที่จะไปทำอะไรเขา ก็คงต้องยอมรับ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องใช้เหตุผลมาพูดกัน แต่ผมเชื่อว่ามันคงไม่ทำให้ดีลที่เราทำกับสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ล้ม และนี่ไม่ใช่การลงนามที่เร็วเกินไป" วรวีร์เผยความในใจของเขา

"ก็ควรจะอนุมัติ เพราะผมคิดว่าทุกอย่างก็ได้ผ่านขั้น ตอนการพิจารณาของทางภาครัฐมาค่อนข้างเยอะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทางกปส. แบงก์ชาติ หรือกระทรวงการคลัง" นอก จากนี้ "ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรจะทำให้เรียบร้อย เหตุผลคือมันก็ได้พูดจาต่อรองกันมานานแล้ว พวกนักข่าวก็อยากจะรู้เรื่อง ให้มีข้อมูลที่จะเขียนได้ เราก็เลยอยากจะเซ็นสัญญา เพื่อที่จะได้เปิดเผยข้อมูลได้อย่างถูกต้องตรงกับความเป็นจริง เพราะผมเองเกือบทุกเช้าก็ต้องมานั่งส่งเรื่องให้ตลาดฯเพื่อแก้ข่าว รายงานความจริง"

สำหรับทิศทางของธนาคารในอนาคตนั้น แน่นอนพนักงานก็กังวลเรื่องผู้บริหารกลุ่มใหม่ ซึ่งวรวีร์ให้เหตุผลเกี่ยวกับข่าวเรื่องการปิดสาขาว่า "การที่สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เข้ามา เขาก็ต้องมาดูเรื่องพนักงาน ประสิทธิภาพการทำงาน อย่างพนักงานนี่เรามี 2,054 คน เรื่องการยุบสาขานี่ ต้องเข้าใจว่าการขอเปิดสาขานั้นเราต้องขออนุญาตจากแบงก์ชาติ ซึ่งเขาก็มีจุดมุ่งหมายต้องการกระจายความเจริญ การที่เราจะไปปิดสาขาอะไรก็ต้องดูว่ามันขัดหลักการใหญ่นั้นหรือเปล่า"

ประเด็นที่สำคัญอีกเรื่องคือการเปลี่ยนชื่อธนาคาร วรวีร์เปิดเผยว่าขึ้นอยู่กับคณะผู้บริหารชุดใหม่ ว่าจะตัดสินใจอย่างไร แต่เขายอมรับว่าชื่อนครธนจะใช้อยู่ต่อไปอีกประมาณ 1 ปี และส่วนตัวเขาเองนั้น "ส่วนตัวผมคงยังลาออกไม่ได้ ก็ต้องอยู่ช่วยเขาไป จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย เราคงต้องให้ทั้งสองแบงก์นี่หันหน้าเข้าหากัน พยายามทุกอย่างให้พนักงานนี่เข้ากันได้"

ปัจจุบันตระกูลหวั่งหลีถือหุ้นในธนาคารฯ อยู่ประมาณ 8-11% พวกเขามีสิทธิซื้อหุ้นใหม่และ วอร์แรนต์ตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ทุกคนอยากทราบว่าตระกูลหวั่งหลีจะเอาอย่างไร วรวีร์ กล่าวว่า "ผมไม่สามารถตอบแทนสมาชิกในตระกูลคนอื่นๆ ได้" แต่ส่วนตัวเขานั้น "หากเขา (ผู้ถือหุ้นรายใหม่) ยอมให้ผมซื้อ ผมก็ซื้อครับ ซึ่งหากทุกคนซื้อตามสัดตามส่วน เอา right เอา warrant ต่างๆ มันก็มีเท่าเดิมคือ 11%" แต่หากว่าซื้อไม่ครบตามสัดส่วนที่มีอยู่นั้น อินทิราเปิดเผยว่า "ในส่วนที่เหลือของ 800 ล้านบาทนั้น ผู้ร่วมทุนก็จะรับไป"

วรวีร์กล่าวปนหัวเราะว่า "ตระ-กูลหวั่งหลีเสียไปหมด เพราะเหลือแค่ 1 สตางค์ แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าสูญไปเท่าไหร่" วิธีนี้เป็นรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับวรวีร์ ซึ่งเขามีความมั่นใจมากในวันเซ็นสัญญานั้น และดูเหมือนสุจินต์ หวั่งหลี-น้องชายสุวิทย์ ซึ่งขึ้นมาเป็น senior แทนสุวิทย์ที่จบชีวิตไปอย่างกะทันหันก่อนเห็น ฉากประวัติศาสตร์ของธนาคารที่บรรพบุรุษสร้างมา ก็ดูจะให้การสนับ สนุนวรวีร์อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ดี สำหรับทำนุ หวั่ง หลี กรรมการผู้จัดการใหญ่ มีความ รู้สึกที่ต่างออกไป

"ผมรู้สึกใจหาย ก็เพราะว่า goodwill ของเราหายไป มันตั้ง 60 กว่าปี ผู้ใหญ่ให้มา ของตระกูลแล้ว อยู่ๆ ต้องขายให้ต่างชาติไป แล้วคุณใจไม่หายหรือ และเราก็ปล้ำกันมาตั้งแต่แรกจนมีความเจริญถึงขนาดนี้ แล้วจะไม่ใจหายหรือเมื่อต้องมอบให้เขาไป"

สำหรับตระกูลหวั่งหลี นี่อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดเท่าที่จะประเมินได้ในเวลานี้ แม้จะยังอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่าเป็นการลอยคออยู่กลางมหาสมุทรก็ตาม

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us