ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียกำลังผลักดันให้ธุรกิจธนาคารในภูมิภาคนี้ต้องเร่งปรับโครงสร้างองค์กร
และปรับโครงสร้างทุนอย่างรวดเร็วและจริงจัง ภายในสองสามปีนับจากนี้ การเปลี่ยนแปลงที่ควรใช้เวลานับทศวรรษก็จะสำเร็จลุล่วง
เพราะภาครัฐไม่อาจปกป้องธนาคารในประเทศจากการแข่งขันเชิงรุกได้อีกต่อไป ธนาคารที่เล่นบทบาทจริงจังกำลังมีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์
และก้าวกระโดดขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจนี้ได้ โดยไม่เกี่ยงเรื่องขนาดกิจการในปัจจุบัน
ก่อนหน้าเดือนกรกฎาคม ปี 1997 การปรับโครงสร้างธุรกิจธนาคารเป็นไปอย่างเชื่องช้า
แม้จะเป็นที่รู้กันว่าต้องเกิดขึ้นแน่นอน ทั้งนี้เนื่องจากเศรษฐกิจแบบ "เสือ"
กำลังบูมธนาคาร ในเอเชียเองก็เป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้รับประโยชน์ก้อนโต จึงมัวเพลินอยู่กับวันเวลาที่สินเชื่อเติบโตในอัตราเร่งอย่างไม่มีการสกัดกั้นใดๆ
แต่ธนาคารในเอเชียทั้งที่เป็นของเอกชน และธนาคารของรัฐก็ไม่สามารถต้านทานกระแสวิกฤตเศรษฐกิจ
ได้ การลดลงของภาวะตลาดและภาวะการเงิน ส่งผลให้เกิดการกู้ยืมที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
และยังผลให้เกิดภาวะเงินทุนขาดหายไปในธนาคารในหลายประเทศ ในอินโดนีเซีย เกาหลีใต้
และไทย หนี้เสียเกินทุนของธนาคารสูงมาก กว่า 300% สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อ
ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงจนมูลค่าของทรัพย์สินค้ำประกันต่ำกว่าระดับเงินกู้ค้างชำระ
หุ้นกลุ่มธนาคารเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ในภาวะเช่นนี้ ธนาคารส่วนใหญ่จึงไม่อาจเพิ่มทุนจากภายในประเทศ
และดังนั้นจึงถูกบังคับให้ต้องหันไปหารัฐบาลและนักลงทุนต่างประเทศเพื่อต่อชีวิตกิจการ
ออกไป
ในเวลาเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลกก็เรียกร้องให้มีการเปลี่ยน
แปลงโครงสร้าง เมื่อมีทางเลือกอันน้อยนิดเช่นนี้ รัฐบาลของประเทศเอเชียส่วนใหญ่จึงเริ่มปรับเปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจธนาคารของตน
ด้วยการผ่อนปรน เงื่อนไขให้ชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นกิจการ สั่งปิดธนาคารที่ล้มละลาย
และบังคับให้ธนาคารที่ไม่ถูกปิดต้องผนวกกิจการ ปรับโครงสร้าง และเพิ่มทุน
หากถามว่าธุรกิจธนาคารกำลังบ่ายหน้าไปยังทิศทางใด ประสบการณ์ของละตินอเมริกาในช่วงปี
1995-1997 คงพอชี้แนวทางที่เป็นประโยชน์ได้บ้าง เนื่องจากภูมิภาคดังกล่าวเผชิญกับวิกฤต
ของการเงินและธนาคารทำนองเดียวกับในเอเชียขณะนี้ กรณีของการลดค่าเงินในเอเชียก็คล้ายคลึงกับการลดค่าเงิน
เปโซอย่างรุนแรงในเม็กซิโกเมื่อปลายปี 1994 ซึ่งกระตุ้นให้เกิดวิกฤตการเงิน
และการธนาคารไปทั่วทั้งละตินอเมริกา เงินกู้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีสัดส่วนถึง
38% ของเงินกู้รวมในเม็กซิโก และสูงถึง 20% ในเวเนซุเอลาและอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นระดับที่เปรียบได้กับที่เกิดขึ้นใน
เอเชียขณะนี้ ยิ่งกว่านั้นละตินอเมริกาได้ เข้าสู่วิกฤตในขณะที่ธนาคารภายในประเทศอยู่ในภาวะที่ไม่อาจแข่งขันกับใครได้เลย
และธนาคารต่างชาติก็ยังมีสัดส่วนการถือครองตลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในปี 1990 ธนาคารใหญ่สี่แห่งในอาร์เจนตินากับธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดสี่แห่งในเวเนซุเอลา
ต่างก็มีผู้ถือหุ้นเอกชนในประเทศ หรือไม่ก็รัฐบาลเป็นเจ้าของกิจการ โดยธนาคารต่างชาติถือครองสินทรัพย์เป็นสัดส่วนไม่ถึง
5% แต่ ภายหลังภาวะวิกฤตดังกล่าวหลายปี ภาคธุรกิจธนาคารในท้องถิ่นของละติน
อเมริกาได้รวมกิจการกันอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สัดส่วนของผู้ถือหุ้นต่างประเทศ
ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย ภาวะดังกล่าวได้สร้างโอกาสใหม่ให้กับผู้ประกอบธุรกิจรายเล็ก
สามารถสร้างตัวขึ้นมาเป็นธนาคารระดับภูมิภาคโดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่เกินสามปี
ในอาร์เจนตินาและเวเนซุเอลา รัฐบาลตระหนักดีว่าระบบการธนาคารที่มั่นคง
มีความสำคัญต่อการรักษาอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจึงรวมไปถึงการปรับปรุงคุณภาพทางด้านทักษะ
และแนวปฏิบัติด้านการบริหารความเสี่ยงของระบบธนาคารในประเทศ โดยต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบเสียใหม่
แล้วเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกับต่างประเทศมากขึ้น นักลงทุนต่างประเทศจึงได้รับอนุญาตให้ลงทุนในสถาบันการเงินในประเทศได้มากขึ้น
และในปี 1997 นักลงทุนเหล่านี้ก็ได้เข้าควบคุมกิจการธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดหลายแห่ง
ทั้งในอาร์เจนตินาและเวเนซุเอลา โดยถือครองสินทรัพย์ธนาคารโดยรวมไว้ถึง 55%
และ 45% ตามลำดับ
หากเอเชียเดินตามแนวทางดังกล่าว กิจการธนาคารรายใดที่มีความภาคภูมิใจว่าเป็นผู้นำธนาคารในระดับประเทศจะต้องเร่งพิจารณาว่า
จะรับมือกับการผนวกและซื้อกิจการดังกล่าวหรือไม่ และอย่างไร อย่างไรก็ตาม
ยังมีสิ่งท้าทายอีกมากในการซื้อกิจการธนาคารในเอเชียทุกวันนี้ ซึ่งจะกล่าวในหัวข้อ
"การผนวกและซื้อกิจการธนาคาร : โอกาสทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่สำหรับ กิจการที่อ่อนแอ"
ขณะเดียวกันธนาคารในประเทศ จะต้องตอบโต้กับอุปสรรคทางการเงินให้ทันท่วงที
และต่อสู้เพื่อให้ได้ฐานลูกค้าที่ต้องการ รวมทั้งตลาดที่เปิดกว้างกว่าเดิม
อุปสรรคสำคัญสำหรับธนาคารในเอเชียคืออะไร ทีมบริหารและคณะกรรมการธนาคารจะทำอย่างไร
จึงจะเป็นผู้กุมชัยชนะในตลาดเอเชียที่กำลังปฏิรูปโครงสร้าง โปรดอ่าน "ยกเครื่องธนาคารในเอเชีย"
แต่เค้าของการบูมของการผนวก และซื้อกิจการธนาคารก็เริ่มขึ้นแล้วเหมือนกัน
และในอีกสองปีข้างหน้าก็จะเข้าสู่ช่วงแห่งการโต้กลับ และเมื่อถึงเวลาที่คลื่นลมสงบลงแล้ว
กิจการธนาคารในเอเชียราวหนึ่งในสามถึงราวครึ่งหนึ่ง อาจจะเข้าซื้อกิจการอื่นไว้หรือ
ไม่ก็เป็นฝ่ายถูกซื้อ ผู้ดำเนินธุรกิจนี้จะต้องพิจารณาถึงนัยทางยุทธศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผู้ที่กล้าหาญที่สุดจึงจะสามารถคว้าโอกาส ในการปรับเปลี่ยนธุรกิจธนาคารในเอเชีย
และกลายเป็นผู้นำรายใหม่ในสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นตลาดบริการการเงิน
ที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโลกในอีกสิบปีข้างหน้าก็ว่าได้
สาเหตุที่จะต้องมีการผนวกและซื้อกิจการธนาคารเพิ่มขึ้น
ธนาคารในประเทศต้องการเงินทุน และต้องหันไปพึ่งนักลงทุนภายนอกประเทศ เงินกู้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ได้ทำให้ทุนของธนาคารเกือบทั่วเอเชีย
หายวับไปกับตา และคาดกันว่าเงินกู้ประเภทนี้ในอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และไทยมีสูงถึง
300-500% ของส่วนของทุน ในขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มธนาคารเองก็ดิ่งลง ราคาหุ้นในอินโดนีเซีย
มาเลเซีย และไทย ลดลงไปถึง 80% หรือมากกว่านั้น และลดลงราว 40% ในสิงคโปร์กับไต้หวัน
ธนาคารในประเทศขณะนี้จึงถูกปิดตายในตลาดทุน การออกหุ้นกู้และหุ้นอื่นๆ มีเพียง
13.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 1998 ต่ำกว่าระดับในปี 1997 ราว 25%
รัฐบาลในประเทศเอเชียกำลังถูกบังคับให้ต้องปรับโครงสร้างทุน และการปรับโครงสร้างองค์กร
โดยการใช้แผนการเชิงรุก รวมทั้งมาตรการต่างๆ ในการแปรรูปกิจการ ปิดกิจการธนาคาร
ที่มีปัญหา จัดตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์ ที่มีปัญหาหนี้เสีย และผ่อนปรนข้อจำกัด
ในเรื่องการให้นักลงทุนต่างชาติถือครอง กิจการ การแปรรูปกิจการได้เพิ่มขึ้นจาก
ศูนย์ในปี 1996 มาเป็น 12.4 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว (ดูตาราง)
ทั้งนี้ การแปรรูปกิจการมีความสำคัญสองประการคือ หนึ่ง แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการเทกโอเวอร์กิจการธนาคารที่ไม่สามารถแก้ไข
ปัญหาได้เร็วเพียงพอ และสอง สินทรัพย์ของธนาคารที่ถูกแปรรูปกิจการซึ่งมียอดรวม
1.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 1997-1998 แสดงถึงรายการสินทรัพย์มหาศาลที่ขายให้กับนักลงทุนเอกชนได้
การขายกิจการ "โคเรีย เฟิร์สท์ แบงก์" (ให้กับนิวบริดจ์ แคปิตอล) และการขายกิจการ
"โซลแบงก์" (ให้กับเอชเอส บีซี) จึงเป็นเพียงการชิมลางขั้นต้นของสิ่งที่จะกลายเป็นคลื่นขนาดยักษ์
ของการแปรรูปกิจการในอีกหลายๆ ปีข้างหน้า (ตาราง 1)
รัฐบาลในเอเชียเองก็ยังกระตุ้นให้มีเงินทุนไหลเข้าประเทศ โดยการให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นกิจการธนาคารได้
มากขึ้นอย่างมาก อินโดนีเซีย เกาหลีใต้และไทย เดินตามแนวทางของฮ่องกง โดยอนุญาตให้ธนาคารในประเทศมีผู้ถือหุ้นต่างชาติได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
ส่วนในฟิลิปปินส์ได้ขยายสัดส่วนการถือครองหุ้นกิจการของต่างชาติเป็น 60%
ในไต้หวันสัดส่วนเป็น 50%
ตารางดังกล่าวจึงแสดงถึงการซื้อขายกิจการที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของธุรกิจธนาคาร
แม้แต่ธนาคารในประเทศ ที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดก็ยังยอมยืดหยุ่น เงื่อนไขในการเจรจาต่อรองมากขึ้นกว่าเดิม
ทั้งที่เมื่อราวสามปี ก่อนการซื้อขายกิจการหลายกรณี ถือว่าเป็นโครงสร้างการลงทุนแบบถือหุ้นส่วนน้อย
แต่วิธีการนี้ก็ใช้กันน้อยลง โดยมีสัดส่วนเพียง 11% ของการตกลงซื้อขายทั้งหมดในปี
1998 ในขณะที่การผนวกกิจการประเภท ที่มีมูลค่ากิจการและสินทรัพย์เท่าๆ กันจะเป็นที่นิยมมากขึ้น
ฝ่ายผู้ซื้อก็พอใจอย่างยิ่งกับการผ่อนปรนเงื่อนไขในการ เจรจา และยังมีผู้สนใจลงทุนรายใหม่ๆ
อีกมาก (ตาราง 2)
ด้วยเหตุนี้ ธนาคารระดับโลกและระดับภูมิภาคหลายแห่ง จึงกลายเป็นผู้ซื้อกิจการที่แข็งขันในเอเชียด้วยกัน
ดีเวลลอปเมนท์ แบงก์ ออฟ สิงคโปร์ (ดีบีเอส) ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์
เป็นหนึ่งในผู้ที่สนใจเรื่องนี้มากที่สุด ในสิงคโปร์เอง ดีบีเอสเข้าผนวกกิจการโพสต์
ออฟฟิส เซฟ-วิงส์ แบงก์ ส่งผลให้กลายเป็นผู้นำกิจ การธนาคารในประเทศ และยังมีขนาดที่อาจจะเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคได้ด้วย
ดีบีเอสยังเป็นธนาคารที่เอาจริงเอาจังกับการซื้อกิจการในภูมิภาค โดยเข้าซื้อกิจการธนาคารทั้งในฮ่องกง
อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย จนกลายเป็นธนาคาร ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มีสินทรัพย์ราว 70 พันล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายที่จะสร้างเครือข่ายธนาคารแบบแฟรนไชส์ในภูมิภาค
ในขณะเดียวกัน ธนาคารอีกหลายแห่งของสหรัฐฯ และยุโรปก็เข้าฉวยโอกาสที่จะเติบโตในภูมิภาคนี้เช่นกัน
(ตาราง 3) ดังเช่นกรณีเอบีเอ็น แอมโร เข้าซื้อกิจการธนาคารเอเชียซึ่งก่อนหน้านี้เป็นธนาคารขนาดใหญ่เป็นอันดับ
10 ของไทยในเชิงสินทรัพย์ และเอบีเอ็น แอมโรยังมุ่งมั่นที่จะใช้การซื้อกิจการครั้งนี้เป็นฐานเจาะตลาดธนาคารชั้นนำของไทย
ผลลัพธ์ในช่วงต้นอยู่ในเกณฑ์ดี กล่าวคือ หลังประกาศซื้อกิจการไปได้หกเดือน
ส่วนแบ่งตลาดของธนาคารเอเชียเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าจากฐานเดิมที่แข็งแกร่ง ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นราว
70% ในระหว่างที่ตลาดซบเซา
ธนาคารทั้งระดับโลกและระดับภูมิภาคต่างมุ่งความสนใจไปที่การผนวก และซื้อกิจการ
ข้ามประเทศ ในปี 1996 การผนวกและซื้อกิจการในลักษณะนี้พบเพียงในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่
ของจีนและมาเลเซียที่แตกแขนงธุรกิจไปสู่ด้านธนาคาร และทำการปรับโครงสร้างองค์กรของกิจการในเครือในเอเชีย
แต่เมื่อเกิดวิกฤตขึ้น มีการผนวกและซื้อกิจการข้ามประเทศในเอเชียถึง 36 ราย
การ โดยภาพรวมแล้ว การผนวกและซื้อกิจการได้เพิ่มขึ้นถึงสี่เท่าตัวจาก 529
ล้านดอลลาร์ในปี 1996 เป็น 2.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 1998 การซื้อกิจการของธนาคารสหรัฐฯ
และยุโรปเพิ่มขึ้นกว่าสิบเท่า จากเพียงแค่ 80 ล้านดอลลาร์ในปี 1996 เป็นกว่า
1.1 พันล้านดอล ลาร์เมื่อปีที่แล้ว สัดส่วนการผนวกและซื้อกิจการในปีนี้มีมากกว่าในปีที่แล้วอย่างมาก
และทั้งหมดนี้เป็นเพียงปรากฏการณ์บางส่วนโดยยังมีที่ยังไม่ปรากฏอีกมากมายมหาศาล