นักสังเกตการณ์ส่วนใหญ่เชื่อว่าการผนวกและซื้อกิจการธนาคารในเอเชียจะเริ่มบูมขึ้นในปี
1998 อันเป็นผลจากแรงผลักดันของวิกฤตการณ์ แต่พวกเขาคาดผิด เพราะในตลาดหลักเก้าแห่งที่กำลังพุ่งแรงในเอเชียตะวันออก
อันได้แก่ จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้
ไต้หวัน และไทย การผนวกและซื้อกิจการธนาคารภาคเอกชน ดำเนินไปอย่างค่อนข้างราบเรียบในปี
1998 เป็นวงเงินเพียง 5.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นอัตราที่พอๆ กับเมื่อปี
1996 ก่อนที่จะเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ
รวบทุกอย่างเข้าด้วยกัน : แผนการผนวกและซื้อกิจการของเอบีเอ็น แอมโร
เอบีเอ็น แอมโรเป็นตัวอย่างของธนาคารระหว่างประเทศชั้นนำที่เติบโตขึ้น
จากการซื้อกิจการในยุโรปและสหรัฐฯ และกำลังย้อนรอยความสำเร็จแบบเดียวกันในตลาดเอเชีย
โดยอาศัยกลยุทธ์หลายประการ
ประการแรก เอบีเอ็น แอมโรใช้แนวทางซื้อกิจการอย่างมีแบบแผน (programmatic
approach) แผนการซื้อ กิจการในเอเชียดำเนินการและบริหารจากสำนักงานภูมิภาค
มีการกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบอย่างชัดเจน เช่น เจ้าหน้าที่บริหารระดับภูมิภาคมีอำนาจในการดำเนินการติด
ต่อชั้นต้นและในขั้นตอนการแสดงความสนใจ หลังจากนั้นสำนักงานระดับโลกจึงเข้ามาร่วมในการตัดสิน
ใจในเรื่องการเจรจาและการซื้อกิจการ ทั้งนี้ ต้องมีความชัดเจน ในเรื่องของทุน
รวมทั้งมีการเสนอจำนวนกิจการเป้าหมาย ในแต่ละประเทศในภูมิภาคและอนุมัติเป็นแผน
การตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ในขั้นเริ่มต้นนี้เช่นกัน เอบีเอ็น แอมโร จะตรวจสอบเป้าหมายที่หลากหลายในหลายประเทศซึ่งแนวทางนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า
มีความสำคัญต่อความสำเร็จของแผนการ ความพยายามของธนาคารแห่งนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อแนวทางการผนวก
และซื้อกิจการที่นำมาใช้ในเอเชีย และยังช่วยสร้างแรงสนับสนุนภายใน และความน่าตื่นเต้นของสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่า
เป็นความริเริ่มที่ใช้เวลาอันสั้นสำหรับกิจการอย่างเอบีเอ็น แอมโร นอกจากนั้น
แม้ว่าธนาคารจะได้เลือกตลาดที่มีความสำคัญสามแห่งแรกไว้แล้ว แต่ก็ยังยินดีที่จะพิจารณาความคิดที่จะเสริมความแข็งแกร่ง
ของกิจการขึ้นอีก เมื่อโอกาสในตลาดภูมิภาคเปิดให้
การเตรียมการอย่างแข็งขันเป็นสิ่งสำคัญเช่นกันใน ขั้นการเตรียมโครงการจะกินเวลาถึงสี่เดือน
ซึ่งรวมทั้งการ พัฒนาเกณฑ์เจ็ดประการสำหรับซื้อกิจการและกระบวนการ กลั่นกรองในขั้นต้น
โดยที่จะนำเอาการวิเคราะห์จากภายนอกที่พิจารณาเป้าหมายราว 30 แห่งเข้ามาประกอบด้วย
และในท้ายที่สุด จะมีกิจการเป้าหมายเพียง 15 แห่งที่ผ่าน การพิจารณาคัดเลือก
และจะเหลือเพียง 5 รายในขั้นเจรจาซื้อกิจการ
ในจำนวนการซื้อกิจการสองรายในประเทศไทยที่ในท้ายที่สุดก็เลิกล้มไปนั้น
รายที่ยืดเยื้อใช้เวลาเจรจานาน ถึง 6 เดือน มีการพัฒนาโครงสร้างการซื้อขายหลายต่อหลาย
ชุดด้วยกัน การตรวจสอบบัญชีซึ่งรวมเอาผู้บริหาร 30 รายจากสำนักงานในประเทศและสำนักงานภูมิภาคใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนครึ่ง
และในขั้นการบอกเลิกการเจรจาก็ต้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามามีส่วนร่วมซ้ำอีก
กรณีเอบีเอ็น แอมโร ซื้อกิจการธนาคารเอเชีย มีการใช้โครงสร้างข้อตกลงที่ค่อนข้างยืดหยุ่นในเรื่องการปรับ
ปรุงบัญชีราคาในปีที่สามที่รับประกันว่าเอบีเอ็น แอมโรจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่ต้องการ
โครงสร้างดังกล่าวซึ่งอนุญาตให้ฝ่ายผู้ขายกิจการ รักษาความเป็นไปได้ของผลประโยชน์ที่อาจกลับเพิ่มขึ้น
หากความคาดหมายเกี่ยวกับการฟื้นตัวของตลาดของฝ่ายผู้ขายกิจการถูกต้อง จึงนับเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของฝ่ายผู้ซื้อกิจการในภาวะที่มีการแข่งขันกันสูง
ประการสุดท้าย ก่อนที่การตรวจสอบบัญชีจะเสร็จสมบูรณ์ เอบีเอ็น แอมโร ก็ได้เริ่มแผนการที่จะทำ
synergies แล้วโดยพิจารณาการประสมประสานกิจกรรมบางอย่างของสาขาของธนาคารเอเชีย
พัฒนาแผนการขายบริการทางการเงิน ทั้งลูกค้าประเภทรายย่อยและลูกค้าประเภทบริษัท
เริ่มออกแคมเปญพันธบัตรเงินกู้ระหว่างธนาคาร และระดมเงินฝากอย่างเอาจริงเอาจัง
รวมทั้งระบุถึงโอกาสสำหรับการผ่องถ่ายทักษะความชำนาญต่างๆ และเลือกผู้บริหารเข้าร่วมทีมบริหารของธนาคารเอเชีย
อาจจะยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าการซื้อขายกิจการนี้สร้างมูลค่าหรือไม่
แต่ความพยายามในการประสมประสาน หลังการซื้อกิจการตั้งแต่แรกชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้สูงว่าการทำ
synergies จะได้ผล ในกรณีนี้ เอบีเอ็น แอมโรได้บริหารกิจการจนสามารถสร้างฐานะของผู้นำในอนาคตในตลาดเป้าหมาย
ในขณะที่ธนาคารเอเชียก็ได้ผู้ร่วมธุรกิจ ที่ตนต้องการ เพื่อที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดในท่ามกลางภาวะวิกฤตในปัจจุบัน
แผนการผนวกและซื้อกิจการของเอบีเอ็น แอมโร รวมทั้งกรณีการซื้อกิจการที่เลิกร้างกันไป
ล้วนแต่ฉายภาพ ให้เห็นโอกาสทางการตลาดที่เป็นไปได้สำหรับธนาคารที่จะเข้ายึดตลาดเอเชียวันนี้
ธนาคารแห่งอินเดีย : ยักษ์ที่เพิ่งตื่นจากหลับใหล
ท่ามกลางนโยบายคุมเข้มจากภาครัฐของอินเดีย ดูเหมือนว่าธนาคารแห่งอินเดีย
(SBI) จะแตกต่างจากธนาคารของรัฐบาล 26 แห่งและธนาคารเอกชน 34 แห่งใน ปี 1998
อันเนื่องมาจากขนาดและหลักการดำเนินงาน ด้วย สินทรัพย์มูลค่า 40,000 ล้านเหรียญ
เงินฝาก 30,000 ล้าน เหรียญและบัญชีอื่นๆ อีกมากกว่า 20 ล้านบัญชี ธนาคารแห่งอินเดียถือครองส่วนแบ่งตลาดธนาคารของอินเดียถึงหนึ่งในสี่ของทั้งหมด
การให้บริการของธนาคารครอบคลุม ตั้งแต่การปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัท การรับฝากเงินของลูกค้ารายย่อยและการปล่อยกู้
การดำเนินธุรกิจของธนาคารสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายเศรษฐกิจของธนาคารโดยตรง
กล่าวคือ เอสบีไอต้องจัดสรรเงินกู้ 40% ให้กับบริษัทที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรกสุด
รวมถึงภาคการเกษตรและธุรกิจขนาดเล็ก และกระจายสินเชื่อ 50% ให้กับกิจการชั้นนำและไม่เกิน
10% ให้กับผู้บริโภค โดยเงินกู้เพื่อผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นการปล่อยกู้ให้กับพนักงานบริษัท
ตลอดทศวรรษ 1990 ธนาคารแห่งอินเดียตอบสนองนโยบายของรัฐบาลอย่างเข้มงวดด้วยการกระตุ้นการออม
ของประชาชนมากกว่าการกู้ยืมหรือการดำเนินธุรกิจการปล่อยกู้ให้กับผู้บริโภค
กระนั้นก็ดี ธนาคารแห่งอินเดียกลับไม่ประสบความสำเร็จมากนักในด้านการรับฝากเงินรายย่อย
สาขากว่า 9,000 แห่งกระจายเข้าถึงทุกหมู่บ้านในประเทศ ทำ ให้ธนาคารได้รับความไว้วางใจ
แต่ธนาคารแห่งอินเดีย กลับมองบรรดาผู้ฝากเงินเป็นเพียงลูกค้าธรรมดาๆ เกือบตลอดทศวรรษ
1990 โดยธนาคารเสนอบริการเพียงบางกลุ่มในรูปของบัญชีออมทรัพย์หรือบัญชีเงินฝากประจำ
ทว่า ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 การแข่งขันก็เพิ่มสูงขึ้นเนื่อง จากรัฐบาลจำเป็นต้องผ่อนคลายกฎและอนุญาตให้ธนาคาร
ต่างชาติเข้ามาดำเนินกิจการแม้ว่าจะจำกัดให้เปิดสาขาได้เพียงไม่กี่แห่งก็ตาม
ต่อมาในปี 1995 รัฐบาลอินเดียตัด สินใจส่งเสริมการขยายเครือข่ายเครื่องเบิกถอนเงินสดอัตโนมัติ(เอทีเอ็ม)
ทั่วประเทศ ส่งผลให้ธนาคารชั้นนำอย่าง ซิตี้แบงก์และเอชเอสบีซีพัฒนากิจการได้อย่างรวดเร็ว
และได้รับผลตอบแทนจากการขยายตัวในเวลาอันสั้น
ธนาคารแห่งอินเดียตระหนักดีว่า ส่วนแบ่งตลาดของกิจการกำลังล่อแหลม จึงเร่งปรับปรุงการดำเนินธุรกิจ
ที่เกี่ยวข้องกับลูกค้ารายย่อยเมื่อปี 1998 พร้อมประกาศแผนสร้างศูนย์บริการลูกค้ารายย่อยเกือบ
100 แห่งกระจาย ทั่วประเทศ ศูนย์บริการแห่งนี้จะจัดการกับความผิดพลาด ที่เกิดขึ้นจากการใช้เครื่องเบิกถอนเงินสดอัตโนมัติในปี
1996 นอกจากนั้น ธนาคารติดตั้งเครื่องเบิกถอนเงินสดใหม่ๆ อีกไม่ต่ำกว่า 50
เครื่องในปี 1998 และตัดสินใจปรับปรุงงานด้านการให้บริการและประสิทธิภาพโดยรวมของกิจการ
ด้วยการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในสาขาต่างๆ ร่วม 1,500 สาขา พร้อมดำเนินแผนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับจีอี
แคปิ-ตอล เพื่อออกบัตรเครดิตวีซ่าแก่ลูกค้า
ในศตวรรษที่ 21 ที่ใกล้เข้ามา ธนาคารแห่งอินเดีย ได้เตรียมความพร้อมหลายด้าน
อาทิ การร่างแผนเชิงรุก รองรับระบบการชำระเงินและการประกันภัยเพื่อช่วงชิงข้อได้เปรียบ
จากเครือข่ายสาขาที่มีอยู่อย่างทั่วถึง แต่ธนาคาร ต้องเผชิญกับแรงท้าทายสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกอบรมพนักงานเรือนหมื่นเพื่อจัดการกับภารกิจใหม่ ผลิต
ภัณฑ์ใหม่และบริการใหม่
ธนาคารแห่งอินเดียก็เหมือนกับธนาคารภาครัฐทั่วไป ในเอเชีย ในแง่ที่ว่าธนาคารจะต้องอยู่
"ถูกที่ ถูกเวลา" หาก ต้องการรักษาฐานะผู้นำธุรกิจธนาคารสำหรับผู้บริโภครายได้
ต่ำและรายได้ปานกลางซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่เอาไว้