Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2544








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2544
Culture.com: Building Corporate Culture in the Connected Workplace             
 





ส า ร บ า ญ
- วัฒนธรรมองค์กรในโลกธุรกิจ
Clicks-and-Mortar

- จะทะยานเข้าสู่โลกแห่งความสำเร็จได้อย่างไร

- สร้างวัฒนธรรมองค์กรในธุรกิจไร้พรมแดน

- ประสานวัฒนธรรมองค์กร 2 แบบ

- สร้างทีมงานเลือดใหม่ในวัฒนธรรมดอทคอม

- การสื่อสารเป็นเรื่องของทุกคน

ในวัฒนธรรมดอทคอม

- การบริหารความรู้ คือพลังสมองของผู้บริหาร

- สร้างองค์กรไอคิวและเพิ่มความเฉลียวฉลาดจะสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้กับธุรกิจแห่งโลกสมัยใหม่ได้อย่างไร ทุกวันนี้ใครๆ ก็เร่งปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็น e-Business กันทั้งนั้น บรรดาองค์กรต่างๆ กำลังปรับตัวกันยกใหญ่ องค์กรที่ไม่แสวงหากำไรก็ไม่ยกเว้น หรือแม้แต่หน่วยงานของรัฐบาล ทว่าอุปสรรคใหญ่ที่สุดที่กิจการส่วนใหญ่ต้องเผชิญก็คือ วัฒนธรรมองค์กรกลับไม่สอดคล้องกับวิธีการทำงานของพนักงานในระบบใหม่นี้ สรุปแล้วก็คือ ต้องหาหนทางที่จะสร้างและเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร เพื่อเป็นการส่งเสริมมิใช่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงสู่โลกยุคใหม่ของธุรกิจ

นั่นคือเรียนรู้ที่จะเผชิญกับเรื่องท้าทายทั่วๆ ไปดังนี้


- จะทะยานเข้าสู่โลกแห่งความเร็วได้อย่างไร - ในโลกอินเทอร์เน็ตทุกอย่างวิ่งไปเร็วมาก คุณจะได้เรียนรู้ว่าเหตุใดการมุ่งสู่โลกแห่งความเร็วนั้น เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะยอมเสี่ยงและตัดสินใจแบบทันที

‘ สร้างวัฒนธรรมองค์กรในธุรกิจไร้พรมแดน - เราจะรักษาวัฒนธรรมองค์กรไว้ได้อย่างไรเมื่อพนักงานไม่จำเป็นต้องนั่งประจำที่สำนักงาน รวมถึงบันได 7 ขั้นในการถ่ายทอดวัฒนธรรมองค์กรให้กับพนักงานใหม่ที่ไม่ได้อยู่สำนักงาน

- ประสานวัฒนธรรมองค์กร 2 แบบ - เมื่อธุรกิจปรับเปลี่ยนสู่ e-Business ด้วยการจัดตั้งหน่วยงานที่ใช้อินเทอร์เน็ตหรือตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะ และดำเนินงานควบคู่ไปกับการทำงานแบบเก่า คุณจะสามารถประสานวัฒนธรรมองค์กร 2 แบบนี้ได้อย่างไร

- โปร่งใสและรู้จักบริหารความรู้ - เพื่อเรียนรู้ว่าเหตุใดในโลกดอทคอมจึงไม่มีใครเป็นเจ้าของข้อมูลเพียงคนเดียว แต่ข้อมูลเป็นของทุกคน ค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการบริหารความรู้ที่สำคัญยิ่งสำหรับ e-Business ที่ประสบความสำเร็จ

- สร้างองค์กรไอคิว การเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็น คุณจึงต้องทราบว่าเหตุใดบริษัทชั้นนำหลายแห่งจึงเปลี่ยนแปลงวิธีฝึกอบรมพนักงาน

ทั้งหมดนี้คือแง่มุมเด่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สอดคล้องกับยุคอินเทอร์เน็ต เป็นก้าวหนึ่งที่สำคัญสำหรับอนาคตแห่งความสำเร็จของธุรกิจของคุณ

วัฒนธรรมองค์กรในโลกธุรกิจ
Clicks-and-Mortar

กฎของเกมกำลังเปลี่ยนแปลงไป ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกดอทคอม ลิ้มรสความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในความเป็นไปของโลกนับตั้งแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา ที่ผ่านมาเราเคยสนใจแต่วิธีการจัดส่งสินค้าและบริการในโลกแห่งเครือข่ายแบบใหม่ แทบไม่ได้คิดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมองค์กรเลย

แน่ละบริษัทต่างๆ ย่อมต้องเปลี่ยนวิธีทำธุรกิจเพื่อจะสามารถแข่งขันในโลกยุคใหม่ แต่วัฒนธรรมองค์กร หรือที่มักจะนิยามกันว่าเป็น สิ่งที่เคยทำกันมา สามารถจะสร้างหรือทำลายกลยุทธ์ธุรกิจได้ ถ้ากลยุทธ์ของธุรกิจไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร วัฒนธรรมย่อมเป็นฝ่ายได้ชัยเสมอ

การจะเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้ได้ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจวัฒนธรรมนั้นเสียก่อน วัฒนธรรมองค์กรแบ่งออกได้เป็น 3 ชั้น จุดศูนย์กลางคือคุณค่าที่เป็นหัวใจสำคัญของกลุ่มคน เป็นแนวคิดที่ทางกลุ่มยึดถือร่วมกัน ถัดมาคือพฤติกรรมหรืออุปนิสัยที่ได้รับการพัฒนาขึ้น ซึ่งสะท้อนคุณค่าหรือแนวคิดที่เป็นหัวใจสำคัญ ชั้นนอกสุดคือสัญลักษณ์และภาษาที่สมาชิกในสังคมนั้นใช้เพื่อสื่อสารกัน

เยื่อชั้นในสุดของวัฒนธรรม

แนวคิดพื้นฐานหรือคุณค่าหลักนั้นเปรียบเสมือนศูนย์ล้อของทุกๆ สิ่งที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม

ตัวอย่างของแนวคิดพื้นฐานขององค์กรก็เช่น กลุ่มเชื่อว่าสังคมเกิดจากชุมชน หรือเกิดจากปัจเจกบุคคล และกลุ่มยอมให้มีการทำงานหลายๆ งานพร้อมกัน หรือต้องทำงานให้เสร็จเป็นชิ้นๆ ไปก่อนจะเริ่มงานใหม่ โดยทั่วไปแล้ว แนวคิดพื้นฐานเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีการพูดกันอย่างเป็นทางการ

ในทางตรงกันข้าม คุณค่าหลักเป็นเรื่องของสำนึก มีการแลกเปลี่ยนถกเถียง หรือเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในองค์กร ตัวอย่างเช่น คำขวัญประเภท ลูกค้ามาอันดับหนึ่ง, ความคิดริเริ่มของบุคคลคือที่มาแห่งความสำเร็จ และ จงรักษาสัญญา วาจานั้นคือเกียรติ พึงระลึกไว้ว่า เมื่อใดที่ธุรกิจของคุณเปลี่ยนไปสู่องค์กรดอทคอม คุณค่าหลักก็อาจจะเปลี่ยนตามเพื่อสะท้อนความเป็นจริงปัจจุบัน

พฤติกรรมและอุปนิสัย

พฤติกรรมและอุปนิสัยของคนที่ทำงานให้กับบริษัทเป็นตัวสร้างเยื่อชั้นกลางของวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้ก็คือธรรมเนียมประเพณีของธุรกิจ และกินความหมายรวมถึงทุกสิ่งนับตั้งแต่นโยบายที่เป็นทางการ ไปจนถึงเทคนิคต่างๆ ที่พนักงานใช้เพื่อทำงานให้สำเร็จ นโยบายที่เป็นทางการนั้นอาจจะนับตั้งแต่พฤติกรรมที่สร้างขึ้น เช่น รีบรับโทรศัพท์ ภายในกริ่งที่ 3 ตลอดจนถึงนโยบายที่ว่า หากต้องการขออนุมัติ ให้รีบติดต่อหัวหน้างาน ส่วนอุปนิสัยที่ไม่เป็นทางการนั้นก็เช่น การคบค้าสมาคมเฉพาะกับคนในระดับตำแหน่งเดียวกัน หรือไม่โต้แย้งหัวหน้าต่อหน้าคนอื่น

พฤติกรรมและอุปนิสัยที่เป็นเยื่อชั้นกลางของวัฒนธรรมองค์กรนี้ เป็นสิ่งที่เรียนรู้กันในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการทำงาน ผู้มาใหม่อาจสังเกตการปฏิบัติตนของพนักงานเก่า และเรียนรู้กฎเกณฑ์พื้นฐานเหล่านี้ได้ในไม่ช้า

สัญลักษณ์และภาษา

สัญลักษณ์และภาษาเป็นวัฒนธรรมที่มองเห็นได้ชัดและง่ายที่สุด อาทิ โลโกบริษัท, สี, เครื่องแบบ และแผนผังสำนักงาน ทั้งหมดนี้สร้าง ภาพพจน์ ของบริษัท ตัวอย่างเช่น Amazon.com ที่เริ่มต้นจากโรงรถเช่า มีโต๊ะไม่กี่ตัวทำจากบานประตูไม้ โต๊ะ 2 ตัวนั่ง 4 คน และชั้นวางของเข้ามุม ปัจจุบันโต๊ะรุ่นบุกเบิกนี้ยังใช้งานอยู่ในบริษัท สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์ว่าที่ Amazon.com ทำงานกันอย่างไร

อะไรที่ต้องเปลี่ยน และอะไรที่ต้องคงไว้

ถ้าบริษัทของคุณกำลังเผชิญสิ่งท้าทายในโลกของความเปลี่ยนแปลง ก็จำเป็นที่คุณจะต้องเตรียมพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงทุกๆ สิ่งเกี่ยวกับบริษัท ยกเว้นความเชื่อพื้นฐาน เนื่องจากแกนกลางของวัฒนธรรมนั้นมีแนวโน้มว่าจะยืนยงที่สุด เราจึงต้องค่อยๆ สร้างสิ่งต่างๆ จากแกนหลักนี้ เมื่อเราได้เปลี่ยนสิ่งอื่นๆ ที่เหลือเพื่อก้าวเข้าสู่โลก e-Business แล้ว เราต้องเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย, สัญลักษณ์ และภาษา แต่ไม่ใช่แกนกลางของวัฒนธรรม

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าปัจจุบันบริษัทคุณต้องให้ผู้บริหาร 5 คนเซ็นอนุมัติเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จากนั้นทีมงานจึงจะดำเนินการได้ จงลดลงให้เหลือแค่ 1 หรือ 2 คนก็พอ การทำเช่นนี้ คุณจะสามารถปรับตัวเข้าสู่ e-Business ที่ก้าวเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนความเชื่อหลักขององค์กรในเรื่องความไว้วางใจและการควบคุม

พึงระลึกไว้ว่า พนักงานย่อมต่อต้านและไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ผู้คนมักยึดติดกับ สิ่งที่เคยทำกันมา ความจริงก็คือ คนส่วนใหญ่จะโอดครวญ พร่ำบ่น และต่อต้านการเปลี่ยนแปลงไปตลอดกระบวนการ อย่าคาดหวังว่าจะสามารถทำให้ทุกคนมีความสุข ขณะที่บริษัทกำลังเปลี่ยนแปลง เพราะสิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าคุณมั่นใจว่าได้ให้ความสำคัญกับการรักษาวัฒนธรรมแกนหลักไว้ ขณะที่คิดค้นกลยุทธ์ธุรกิจที่ดีขึ้นเพื่อตอบสนองกับความเป็นจริงในโลก e-Business ยุคใหม่ เมื่อนั้นคุณก็สามารถต่อรองเรื่องอื่นๆ ได้ แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะค่อนข้างยากลำบากก็ตาม

เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะเปลี่ยนอะไร และจะคงอะไรไว้ คุณจำเป็นต้องชี้แจงถึงความเปลี่ยนแปลงนี้บ่อยๆ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม หมายถึงว่า แค่จัดงานเปิดตัวบริษัทใหม่แบบหรูๆ สักครั้งสองครั้งนั้นยังไม่พอ อย่างที่รู้ๆ อยู่ว่า นิสัยเดิมแก้ยาก เราจำเป็นจะต้องชี้นำพนักงานไปสู่ทิศทางใหม่โดยอาศัยกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าบริษัทของคุณจะอนุญาตให้พนักงานกล่าวแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมโดยไม่มีการลงโทษ หรือให้รางวัลแก่ทีมงานที่เสนอผลงานก่อนเวลาที่กำหนดถึงเท่าตัว ก็จงทำให้มั่นใจว่าคุณได้ย้ำเน้นถึงความเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง

จะทะยานเข้าสู่โลกแห่งความเร็วได้อย่างไร

ปัจจุบันธุรกิจต่างๆ ต้องดำเนินงานภายใน าเวลาของเน็ตำ (Net time) บางคนถึงกับบอกว่า ในระบบเศรษฐกิจแบบใหม่นี้ รายการค้าของธุรกิจเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าแบบเดิมถึง 10 เท่าตัว ความเปลี่ยนแปลงที่ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี กลับใช้เวลาแค่ปีเดียวในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ซิสโก้ ซิสเต็มส์ใช้เวลาเจรจาต่อรองเรื่องการซื้อกิจการแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ แทนที่จะเป็นเดือนๆ หรือปีๆ อย่างที่เคยทำ เชส แมนฮัตตัน ออกแบบ, สร้าง, ทดสอบ และเปิดตัวเว็บไซต์ของตนเองที่ชื่อ าเชสช็อปำ ภายในเวลาแค่ 4 เดือนครึ่ง เล็กซ์มาร์ค อินเตอร์เนชั่นแนล ลดวงจรการผลิตเครื่องพิมพ์ลงถึง 90% ดังนั้นหากคุณวิ่งไม่เร็วพอ แบบจำลองธุรกิจแบบเก่าของคุณจะถูกเบียดแซงโดยธุรกิจดอทคอมที่เพิ่งตั้ง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า าถูกอเมซอนำ ความเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับโลก e-Business

คำว่า าเปิดตัวและเรียนรู้ (launch and learn) อธิบายวิธีการที่ธุรกิจหลายแห่งนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดในยุคอินเทอร์เน็ตได้เป็นอย่างดี แทนที่จะต้องออกแบบผลิตภัณฑ์, สร้าง, ทดสอบ และทำให้สมบูรณ์ ก่อนวางแผง ทุกวันนี้บริษัทมักจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ก่อนที่ผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะพัฒนาครบสมบูรณ์แบบเสียด้วยซ้ำ ถ้าคุณต้องมานั่งรอจนกว่าผลิตภัณฑ์จะสมบูรณ์แล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าถูกคนอื่นตีตลาดแน่ๆ แม้แต่ธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงยังต้องใช้วิธีนี้ เช่น พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิลเคยใช้เวลา 5 ปีในการเปิดตัวสินค้าใหม่ แต่บริษัทฯ แนะนำ าสวิฟเฟอร์ำ สารกำจัดฝุ่นบนเสื้อผ้าแบบที่ย่อยสลายได้ หลังจากที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวนี้ไปได้แค่ 18 เดือน

จะทำให้เร็วและมีคุณภาพได้อย่างไร

ทุกวันนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ดูเหมือนจะยอมรับผลิตภัณฑ์ที่มีข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ในระยะยาวบริษัทที่ต้องการประสบความสำเร็จย่อมต้องค้นหาว่าจะนำเสนอคุณภาพควบคู่ไปกับความเร็วได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่สินค้า หรือแบบจำลองธุรกิจที่ใหม่มากๆ หรือมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลูกค้ามักจะไม่ยอมรับสินค้าที่มีคุณภาพแค่ 80% ไปตลอดกาล

ขั้นแรกคือกำหนดว่าผลิตภัณฑ์ใดจำเป็นต้องสมบูรณ์ 100% และผลิตภัณฑ์ใดสามารถวางจำหน่ายได้ในระดับคุณภาพที่ 80% ฝึกฝนพนักงานให้รู้ว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ ต้องมีคุณภาพ 80% หรือ 100% สอบถามลูกค้าว่าคาดหวังอะไรจากบริษัท พวกเขาต้องการผลิตภัณฑ์ที่ไม่ข้อตำหนิเลย หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่พวกเขาช่วยให้ข้อเสนอแนะหรือคำวิจารณ์ได้ ถ้าคุณตัดสินใจว่าระดับคุณภาพที่ 80% เป็นระดับที่ยอมรับได้ ก็ต้องมั่นใจว่าบริษัทจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานไว้ดีพอที่จะตอบรับคำวิจารณ์ หรือข้อเสนอแนะของลูกค้าได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว

ปรับปรุงความเร็วและคุณภาพสินค้าด้วยการลองใช้ต้นแบบรวบรัด เริ่มที่กระบวนการผลิต โดยการเฟ้นหาการวิเคราะห์เงื่อนไข ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังพัฒนาซอฟต์แวร์ ให้กำหนดให้เร็วที่สุดว่าเงื่อนไขที่สำคัญ 20-30 ข้อแรกของระบบนั้นคืออะไร แล้วหยุดทันที จากนั้นใช้เวลา 2-3 สัปดาห์เพื่อพัฒนาต้นแบบลูกค้า ปล่อยให้พวกเขาลิ้มลองสินค้าแล้วลองดูปฏิกิริยาตอบกลับ สินค้านั้นตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ หรือต้องปรับอีกเล็กน้อย การข้องเกี่ยวกับลูกค้าในขั้นตอนที่สำคัญมากเช่นนี้ ทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะยอมรับผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปมากขึ้น และช่วยรักษาเวลาการพัฒนาที่มีค่าเอาไว้

สร้างวัฒนธรรมที่กระตุ้นให้คนกล้าเสี่ยง

ในบริษัททั่วไป การใช้เวลาหลายปีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้นเป็นเรื่องยอมรับได้ ทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องเสี่ยง เนื่องจากต้องมีการอนุมัติ ปรับปรุง และแก้ไขผลิตภัณฑ์มาทีละแผนกๆ แต่ในยุค e-Business คุณไม่สามารถใช้เวลาฟุ่มเฟือยขนาดนั้นได้ เป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่จะเดินช้าๆ บนทางที่ปลอดภัยกว่า หากจะอยู่ให้รอด ธุรกิจและพนักงานจะต้องเต็มใจและพร้อมที่จะเสี่ยง

วัฒนธรรมการส่งเสริมให้คนกล้าเสี่ยงนี้ พนักงานจะได้รับรางวัลเมื่อเขาหรือเธอยอมเสี่ยง การเสี่ยงเกิดขึ้นในทุกระดับชั้นของบริษัท ไม่เพียงแต่เฉพาะในหมู่ผู้บริหารเท่านั้น การจะทำให้การเสี่ยงก่อผลที่ดีต่อธุรกิจนั้น คุณจำเป็นต้อง...

- ส่งเสริมให้คนกล้าเสี่ยงโดยการให้สิ่งตอบแทนทั้งในแง่เงินทองและการยอมรับ

- ให้รางวัลคนที่กล้าเสี่ยง ไม่ว่าเขาหรือเธอจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวจากการเสี่ยง แต่ให้รางวัลคนที่เสี่ยงแล้วได้ผลมากกว่า

- ยอมให้พนักงานสามารถตัดสินใจทำงานต่างๆ ได้ด้วยตนเอง

- ปล่อยให้ทีมงานดูแลรับผิดชอบงานของพวกเขากันเอง โดยฝ่ายบริหารไม่เข้าไปวุ่นวาย

- จ้างนักเสี่ยงที่มีผลงาน และให้พวกเขาขึ้นเป็นผู้นำ

การตัดสินใจในโลกแห่งความเร็ว

การตัดสินใจนั้นเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการเสี่ยง ถ้าจะสนับสนุนให้พนักงานเสี่ยงมากขึ้น คุณต้องเปิดช่องให้พนักงานตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ต้องให้พวกเขาวิ่งไปข้างหน้าอย่างอิสระ การจะย่นย่อกระบวนการตัดสินใจนั้น ต้องเริ่มจากลดจำนวนครั้งการประชุม และการเซ็นอนุมัติก่อนจะตัดสินใจแต่ละครั้งลง พึงระลึกไว้ว่า พนักงานมีแนวโน้มที่จะถ่วงเวลากับการทำงานแต่ละชิ้นอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าจะทำให้กระบวนการทำงานเร็วขึ้น ต้องตัดเวลาที่ไม่จำเป็นออก

พึงระลึกไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงเพื่อเร่งกระบวนการตัดสินใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การลดการควบคุมหรือปล่อยให้พนักงานมีอิสระมากขึ้นโดยฝ่ายบริหารไม่ต้องคอยจับตาดูนั้น เป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับบรรดาผู้บริหารของธุรกิจแบบเก่า ฝ่ายบริหารจำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่าทีมงานยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์หลักของบริษัท แต่ไม่เข้าไปยุ่งในรายละเอียดเกี่ยวกับการทำงานของทีมงาน

สร้างวัฒนธรรมองค์กรในธุรกิจไร้พรมแดน

ในธุรกิจแบบเวอร์ชวล (Virtual) พนักงานไม่จำเป็นต้องนั่งทำงานที่สำนักงานเลย แต่สามารถทำงานที่บ้าน หรือแม้แต่บนท้องถนน บางคนอาจเป็นพนักงานประจำที่ทำงานเต็มเวลา ขณะที่บางคนมีสัญญาจ้างที่กำหนดระยะเวลาไว้

ข้อดีของธุรกิจเวอร์ชวลนั้นมีมากมาย ตัวอย่างเช่น ประหยัดค่าเช่าสำนักงาน เพราะพนักงานไม่จำเป็นต้องประจำที่สำนักงานอีกต่อไป ข้อดีที่สำคัญอีกข้อก็คือ ในภาวะที่ตลาดงานค่อนข้างตึงตัวเช่นปัจจุบัน การให้อิสระแก่พนักงานย่อมทำให้สามารถหาพนักงานมาทำงานได้ง่ายขึ้น

ขณะเดียวกัน ธุรกิจแบบนี้ก็ต้องเผชิญสิ่งท้าทายใหม่คือ จะสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างไร เพราะถ้าพนักงานทำงานอยู่ที่บ้านหรือบนท้องถนน พวกเขาย่อมมีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานคนอื่นในองค์กรไม่มากนัก เพียงแค่คุณมีพนักงานที่ทำงานนอกบริษัทสัก 10% แค่นี้ก็มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมองค์กรแล้ว พนักงานบางคนเปรียบสถานการณ์ของตนเองว่าเหมือนลูกโบว์ลิ่งที่ทิ้งอยู่ลูกเดียว โบว์ลิ่งอื่นๆ เปรียบเหมือนการทำงานแบบเก่า ซึ่งมีมิติทางสังคม แต่โบว์ลิ่งที่โดดเดี่ยวขาดสิ่งนี้ ความรู้สึกของการเหินห่างจากองค์กรยังทำให้พนักงานขาดการเชื่อมต่อกับวัฒนธรรมขององค์กรด้วย

เพื่อทำให้พนักงานที่ทำงานนอกสำนักงานสามารถต่อติดกับวัฒนธรรมขององค์กร ต้องทำให้มั่นใจว่า พนักงานเหล่านี้ได้ใช้เวลาช่วง 2-3 สัปดาห์แรกที่สำนักงาน เพื่อที่พวกเขาจะได้ซึมซับกับวัฒนธรรมองค์กร ให้พวกเขาทำความรู้จักกับพนักงานคนอื่นๆ ที่จะต้องทำงานด้วยจากที่บ้านหรือที่อื่น ๆ เชื้อเชิญพนักงานที่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีมาร่วมงานปฐมนิเทศของบริษัท ต้องแน่ใจว่า มีการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมขององค์กรให้พนักงานเหล่านี้ได้ฟัง อาจเป็นการเล่าแบบปากต่อปาก หรือเล่าผ่านวิดีโอหรือเทปคาสเซตต์

ควรมีการประชุมแผนกและเชิญพนักงานทุกคนมาเข้าร่วมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในแง่บุคคล จัดพิมพ์จดหมายข่าว มีการจัดเที่ยวนอกสถานที่ จัดงานเลี้ยงในวันหยุด ลงทุนด้านเทคโนโลยีการประชุมผ่านวิดีโอ และหมั่นย้ำให้ทุกคนรู้ว่าพนักงานที่ทำงานนอกสำนักงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร

7 ขั้นตอนในการถ่ายทอดวัฒนธรรม

การจะถ่ายทอดวัฒนธรรมองค์กรให้แก่พนักงานที่ทำงานนอกสำนักงานได้อย่างประสบความสำเร็จนั้น มีขั้นตอนที่สำคัญ 7 ขั้นด้วยกัน คือ

การคัดเลือก คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมที่จะมาเป็นพนักงานที่ทำงานนอกสำนักงาน ถ้าผู้สมัครบอกคุณว่าเธอเคยเป็นดาวเด่น มีผู้คนมาห้อมล้อมเสมอๆ การให้เธอทำงานที่บ้าน คงไม่เหมาะนัก นอกจากนี้ควรให้ผู้สมัครทราบว่า พวกเขาอาจะถูกย้ายเข้ามาประจำสำนักงาน ถ้าการทำงานนอกสำนักงานไม่ได้ผล คุณจำเป็นต้องคัดเลือกคนทำงานอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานเหล่านี้จะเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทได้ ถ้าเริ่มต้นดี อย่างอื่นก็จะไปได้ดี

ปรับตัว พนักงานที่ทำงานนอกสำนักงานจำเป็นต้องรู้ว่าที่บริษัททำงานกันอย่างไร อาจเป็นเรื่องยากสำหรับพนักงานที่เคยมีประสบการณ์การทำงานที่อื่นมาก่อน ในโลกของe-Businesss เป็นเรื่องธรรมดาที่พนักงานจะวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของเพื่อนร่วมงานอย่างเปิดเผย และเปิดให้พนักงานระดับล่างนำเสนอผลงานให้กับผู้บริหารระดับสูงได้ พูดอีกอย่างก็คือ เราเน้นที่การแบ่งปันข้อมูล และคำวิพากษ์วิจารณ์ในองค์กร พนักงานที่ทำงานนอกสำนักงานก็ต้องมีความตั้งใจจริงที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนร่วมงาน

ฝึกอบรม อย่ามองข้ามการฝึกอบรม สำคัญอย่างยิ่งที่พนักงานที่ทำงานนอกสำนักงานต้องมีทักษะด้านเทคโนโลยี, กระบวนการทำงาน, การสื่อสาร และการรวบรวม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานข้างนอก

วัดผลงานและให้ผลตอบแทน มั่นใจว่าคุณมีวิธีวัดผลงานพนักงานที่ทำงานนอกสำนักงาน และตอบแทนพวกเขาอย่างเหมาะสม ข้อควรพิจารณาก็คือผลงานต้องประเมินค่าได้ บรรดาผู้จัดการที่คุ้นเคยกับการอ่านจากสิ่งที่เห็น เช่น ความกระตือรือร้นของพนักงาน หรือจำนวนชั่วโมงที่พนักงานทำงานที่สำนักงาน จำเป็นต้องเปลี่ยนมามุ่งที่ผลงานแทน ตัวอย่างเช่น ใช้ยอดขาย และรายงานผลสำรวจลูกค้า มาเป็นตัวประเมินผลการทำงาน

คุณค่าร่วม การจะทำให้พนักงานที่ทำงานนอกสำนักงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับบริษัท คุณต้องหาวิธีที่จะทำให้พวกเขายึดถือคุณค่าขององค์กร อาจทำได้ง่ายๆ โดยใช้จดหมายข่าว หรือประวัติของบริษัท

ตำนานและความเป็นมา เล่าเรื่องราวที่พิเศษของบริษัท ตัวอย่างเช่น พนักงานไนกี้ทุกคนต้องรู้ว่าพื้นรองเท้าคู่แรกของไนกี้นั้น สร้างขึ้นมาโดยใช้แผ่นเหล็ก ให้คนที่เล่าเรื่องได้ดีที่สุดในบริษัท ทำหน้าที่ปฐมนิเทศให้กับพนักงานใหม่ คิดข้อความเด่นๆ ที่บอกถึงความเป็นบริษัท ตัวอย่างเช่น วลีสำคัญของไนกี้ที่ว่า าJust Do It!ำ (แค่ลงมือทำ)

บุคคลตัวอย่าง บุคคลตัวอย่างคือส่วนสำคัญของกระบวนการกล่อมเกลาคน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าองค์กรของคุณให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้า ก็หาบุคคลตัวอย่างที่บริการลูกค้าได้ดีเยี่ยม


ประสาน 2 วัฒนธรรมในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ e-Business

อีกไม่นาน จะไม่มีความแตกต่างระหว่างวิธีการทำธุรกิจแบบเก่า และ e-Business บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวสู่สิ่งแวดล้อมใหม่ หรือไม่ก็ต้องอำลาสังเวียน ขณะเดียวกัน องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องหาทางสร้างความเปลี่ยนแปลง บางบริษัทอาจเลือกที่จะจัดตั้งแผนกอินเทอร์เน็ตขึ้นมาโดยเฉพาะ หรือตั้งบริษัทที่ดำเนินงานควบคู่ไปกับองค์กรเดิม บางบริษัทอาจจะต้องการเปลี่ยนโฉมไปสู่วัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง

อย่างไรก็ดี หลายหน่วยงานต้องประสาน 2 แนวทางเข้าด้วยกัน ทำการย้ายแผนกบางแผนกไปอยู่ในยุคอินเทอร์เน็ต ขณะเดียวกันก็ต้องดูแลแผนกหรือกิจการในส่วนธุรกิจอื่น

การเปลี่ยนแปลงนั้นทำได้หลายทาง จะเลือกทางไหนก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของบริษัท ถ้าคุณคิดว่า วัฒนธรรมเดิมเชื่องช้าเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลง และเป็นอันตรายต่อกลยุทธ์ของธุรกิจใหม่ ก็ควรใช้วิธีประสานวัฒนธรรม 2 แบบ ในทางตรงกันข้าม ถ้ากลยุทธ์ธุรกิจของคุณกำหนดที่จะเปลี่ยนผลิตภัณฑ์, บริการ และกระบวนการต่างๆ ทั้งหมดให้เป็น e-enterprises โดยเร็วที่สุด ก็ควรเลือกวิธีผนวกวัฒนธรรมให้เป็นหนึ่ง

ลองดูว่าที่อื่นๆ เขาเปลี่ยนแปลงกันอย่างไร อาจช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าแนวทางใดที่เหมาะกับบริษัทคุณ ตัวอย่างเช่น เซียส์และเวิร์ลพูล 2 บริษัทนี้ขายสินค้าคล้ายๆ กันแต่เปลี่ยนไปสู่ e-Business ต่างกันโดยสิ้นเชิง

เซียส์ตั้งแผนกอินเทอร์เน็ตขึ้นมาใหม่ที่ศูนย์ค้นคว้าวิจัยของบริษัทในอิลลินอยส์ แผนกนี้มีพนักงาน 50 คน ทำงานในบรรยากาศแบบสบายๆ แผนกอินเทอร์เน็ตขายสินค้าหลักคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องมือ ต่อมาไม่นานก็เพิ่มอุปกรณ์การทำสวนด้วย เซียส์ไม่ได้วางแผนเปิดตัวแผนกใหม่นี้ต่อสาธารณชน แต่ต้องการให้เติบโตในฐานะ e-Business ต่อไป

ในทางตรงกันข้าม เวิร์ลพูล ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ แบรนด์ไวส์ ที่ซิลิคอนอัลลีย์ในนิวยอร์ก ไกลจากที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ แบรนด์ไวส์จะดูแลสินค้าอื่นๆ ด้วยนอกเหนือจากอุปกรณ์ไฟฟ้าเวิร์ลพูล ความจริงแล้ว เซียส์ก็จำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งที่สำนักงาน และขายผ่านเซียส์ดอทคอมด้วย

6 ข้อควรพิจารณา

สิ่งที่จำเป็นต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจว่าจะใช้กลยุทธ์ผนวกรวม หรือประสานเคียงคู่กันในการเปลี่ยนสู่ e-Business นั้น มีอยู่ 6 ข้อด้วยกัน คือ

1. วัฒนธรรมองค์กรเดิมมีแนวโน้มจะเป็นอันตรายต่อวัฒนธรรมดอทคอมหรือไม่ ถ้าวัฒนธรรมเดิมมีแนวโน้มว่าจะทำลายความคิดสร้างสรรค์ของ e-Commerce ให้ตั้งบริษัทขึ้นมาต่างหาก และสถานที่ตั้งควรไกลจากสำนักงานใหญ่ของบริษัท

2. จำเป็นต้องแยกงานส่วน e-Business ออกมาต่างหากเพื่อการสรรหาบุคลากรหรือไม่ ทีมงานบุกเบิกจำเป็นต้องอาศัยคนที่มีมุมมองและวิธีทำงานต่างออกไปจากพนักงานหัวเก่า การแยกหน่วยงานออกมาต่างหากจึงอาจจำเป็นเพื่อดึงดูดคนที่มีบุคลิกแบบดอทคอม

3. คุณกำลังเปลี่ยนกระบวนการติดต่อระหว่างธุรกิจ หรือเปลี่ยนกิจกรรมของธุรกิจต่อลูกค้าหรือไม่ ถ้าคุณกำลังผนวกอินเทอร์เน็ตเข้ากับกระบวนการติดต่อระหว่างธุรกิจ และกระบวนการภายในทั้งหมด คุณควรเลือกเดินแนวทางการผนวกรวม แต่ถ้าคุณกำลังมองหาตลาดลูกค้าออนไลน์ ก็ควรตั้งแผนกดอทคอมแยกต่างหากออกมา เว้นแต่คุณจะให้บริการลูกค้าเหล่านี้ที่ร้านค้าอยู่แล้ว เพราะไม่เช่นนั้น ลูกค้าอาจคิดไปว่า 2 หน่วยงานนี้คือบริษัทเดียวกัน และคาดหวังว่าจะมีการรวมกิจการระหว่างธุรกิจออนไลน์กับธุรกิจปกติ

4. มีทุนพอจะดำเนินธุรกิจอื่นควบคู่กันไปหรือไม่ ถ้ามีเงินไม่พอที่จะตั้งบริษัทใหม่ คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเปลี่ยนทั้งองค์กร ขั้นตอนเดียวครั้งเดียว

5. วิสัยทัศน์และกลยุทธ์ความเป็นผู้นำของคุณชัดเจนและมีพลังมากแค่ไหน ถ้าคุณเลือกที่จะผนวกรวมแผนกต่างๆ ทั้งหมดเข้าสู่ e-Business ทุกคนต้องรับรู้ว่ากำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลง บางคนย่อมไม่พอใจ คุณต้องแก้ปัญหาเป็นรายบุคคล

6. มีพนักงานใหม่มากเพียงใด ถ้ามีพนักงานใหม่มาก การเปลี่ยนทั้งบริษัทให้เป็นe-Business ย่อมไม่ยาก เมื่อเทียบกับกิจการที่มีพนักงานหัวเก่าที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงอยู่เยอะกว่า


สร้างทีมงานเลือดใหม่ในวัฒนธรรมดอทคอม

การทำงานใน e-Business นั้นเป็นการทำงานโครงการ พนักงานฟอร์มทีมงานชั่วคราวเพื่อทำงานตามเป้าหมายเฉพาะ ทีมงานจะรายงานผลแล้วสลายทีมไป ทีมงานหนึ่งๆ อาจประกอบด้วยคนทำงาน 7-8 คน ซึ่งรวมตัวกันชั่วระยะเวลาหนึ่ง กล่าวโดยสรุปก็คือ แผนผังองค์กรแบบเก่าใช้ไม่ได้อีกต่อไปในโลก e-Business

ตัวอย่างเช่น ทีมงานเลโก้ที่สามารถมารวมตัวกัน แยกจากกัน หลังจากนั้นก็มารวมตัวกันใหม่ ในรูปแบบโครงสร้างที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ทีมงานดอทคอมแตกต่างจากทีมงานทั่วไปตรงที่พวกเขามุ่งที่เป้าหมาย เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ มีสไตล์การทำงานไม่เป็นทางการ ไม่มีแบบแผน และเป็นประชาธิปไตย ไม่ให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึกหรือบุคลิกส่วนตัวของสมาชิกในทีมงาน และแยกออกจากกันได้ง่ายเมื่องานเสร็จสิ้นลง

จะเห็นได้ชัดว่า คุณจำเป็นต้องสรรหาสมาชิกในทีมที่สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบดอทคอมได้ เลือกคนที่มีศักยภาพและไม่ยึดติดกับแบบแผน เปิดโอกาสให้พวกเขาสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานของตนเอง สนับสนุนทรัพยากรที่จะช่วยพวกเขาทำงานสำเร็จ และสร้างระบบผลตอบแทนที่ดีสำหรับผู้ที่ทำงานบรรลุเป้าหมาย


ป้องกันปัญหาให้ทีมงาน

การทำงานเป็นทีมนั้นน่าสนใจ แต่แรงบีบคั้นอาจสร้างปัญหาได้ สาเหตุหนึ่งของปัญหาก็คือความรู้สึกว่างเปล่าที่หลายๆ คนประสบ เมื่องานเสร็จสิ้นลง ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือ กำหนดระยะเวลา าพักำ เมื่อเสร็จสิ้นแต่ละโครงการ ถือว่านี่เป็นรางวัลให้กับการทำงานได้ดี อันจะช่วยให้พนักงานเข้าใจได้ว่า ความรู้สึกว่างเปล่านั้นเป็นอารมณ์ปกติซึ่งจะผ่านไปเมื่อหมดช่วงพัก หรือเมื่อเริ่มโครงการใหม่

การสื่อสารเป็นเรื่องของทุกคนในวัฒนธรรมดอทคอม

ในโลก e-Business ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เพราะในการทำงานทุกเรื่อง องค์กรไม่สามารถควบคุมกระแสข้อมูล หรือกำหนดระยะเวลาการเปิดเผยข้อมูลได้อีกต่อไป อย่างไรก็ดี บริษัทสามารถจะเปิดเผยข้อมูลให้กับทุกคนในองค์กรได้อย่างรวดเร็วและใช้ต้นทุนไม่แพง ไม่ว่าพนักงานจะอยู่ที่ไหน เช่นเดียวกับที่พนักงานก็รู้วิธีจัดตั้งเว็บไซต์แบบไม่เป็นทางการ เพื่อเผยแพร่ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับบริษัทได้ด้วย

ธุรกิจของคุณต้องเรียนรู้ที่จะรับฟังและตอบสนองการเรียกชื่อตามไซเบอร์สเปซ, การจัดการกับอีเมลที่มากจนล้น, การปล่อยให้พนักงานดึงเอาข้อมูลที่ตนต้องการ แทนที่จะยัดเยียดข้อมูลทั้งหมดให้ และเปลี่ยนแนวคิดจากการเก็บข้อมูลมาเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล

หมดยุคแข่งกันเอง

วัฒนธรรมที่มีพื้นฐานอยู่บนการแข่งขันภายใน และคอยขัดขากันเองนั้น ใช้ไม่ได้อีกต่อไปสำหรับโลกของดอทคอม การเก็บกักข้อมูล, ให้ความสำคัญกับการโจมตีคู่แข่งมากกว่าจะทำงานให้ได้ดี, ปฏิบัติต่อคนอื่นแบบไม่ไว้วางใจ, ตั้งข้อสงสัยและดูถูก และคอยสืบข่าวจากคนอื่นๆ ภายในองค์กรเดียวกัน เหล่านี้คือสัญญาณว่าที่ทำงานของคุณแข่งขันกันเองมากเกินไป ถ้าคุณไม่รีบลงมือทำอะไรเสียแต่ตอนนี้ าผู้ชนะำ ก็จะเริ่มรู้สึกเป็นต่อ และอหังการ ขณะที่ผู้แพ้ตัดสินใจยอมแพ้อย่างราบคาบ

การจะทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ คุณต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมจากสภาพการแข่งขันภายในอย่างดุเดือดเป็นแบบเกื้อกูลกัน ในกรณีของคนที่เป็นคู่แข่งกันมานาน พยายามประสานความขัดแย้ง ถ้าไม่ได้ผล อาจต้องกำจัดคู่กรณีออกไปทั้ง 2 คน และอธิบายให้พนักงานคนอื่นๆ ที่เหลือเข้าใจว่าทำไมบริษัทต้องทำอย่างนี้ การเลิกจ้างเป็นวิธีการบอกข่าวที่ทรงพลังที่สุด และไม่มีใครกล้าโต้แย้ง

เลือกสรรพนักงานใหม่ที่มีทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น บททดสอบที่ดีบทหนึ่งก็คือ ถามผู้สมัครว่าเขาจะทำอย่างไรในสถานการณ์ที่มีทางเป็นไปได้ 2 ทาง ระหว่างการร่วมมือและการขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน ฝึกอบรมพนักงานให้รู้จักใช้ทักษะการต่อรองแบบสร้างสรรค์ เพื่อที่พวกเขาจะได้เรียนรู้วิธีการหาทางออกแบบชนะทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น

การบริหารความรู้ คือพลังสมองของผู้บริหาร

ความรู้และข้อมูลคือตัวจักรที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบริหาร 2 สิ่งนี้ ในโลก e-Business การบริหารความรู้คือการบริหารพลังสมองของผู้บริหาร และเป็นความทรงจำที่สั่งสมไว้ของบริษัท

การบริหารความรู้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยวิธีการไฮเทคและไฮทัช ไฮเทคหมายถึง เรื่องของฐานข้อมูล, คลังข้อมูล และระบบอื่นๆ ที่เก็บรวบรวมและจัดการข้อมูลที่จำเป็นสำหรับบริษัท ไฮทัชหมายถึงว่า ในการบริหารความรู้ คุณจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนข้อมูล การแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งในโลกดอทคอม

วิธีการที่ได้ผลที่สุดที่จะทำให้พนักงานแลกเปลี่ยนความรู้กัน คือ การเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ประสบความสำเร็จให้พนักงานฟัง เรื่องเล่ามักได้ผลดีกว่าคำบรรยายหรือคำสั่ง เพราะเข้าถึงพนักงานได้มากกว่า

สร้างองค์กรไอคิวและเพิ่มความเฉลียวฉลาด

ในโลกดอทคอม บริษัทจำเป็นต้องฉลาด พนักงานก็ต้องฉลาดและเรียนรู้ได้เร็วกว่าคู่แข่ง พลังสมองที่สั่งสมในองค์กรนี้เรียกว่าองค์กรไอคิว เป็นกุญแจสำคัญที่บ่งชี้ความสำเร็จของธุรกิจ

องค์กรไอคิวไม่ได้ชี้วัดโดยการเอาระดับไอคิวของพนักงานแต่ละคนมาบวกกัน หารด้วยจำนวนพนักงานทั้งหมด เพราะองค์กรไอคิวทั้งหมดนั้นยิ่งใหญ่กว่าผลรวมของส่วนย่อยๆ ให้คิดถึงองค์กรไอคิวในฐานะผลรวมของข้อมูล, ข่าวสาร, ความรู้ และการควบคุมเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นในการดำเนินองค์กร และการแข่งขัน องค์กรไอคิวนั้นได้แก่

- รู้ว่าคุณรู้อะไร และความรู้นั้นอยู่ที่ไหน

- รู้ว่าจะใช้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจได้อย่างไร

- รู้ว่ากระบวนการตัดสินใจในปัจจุบันเป็นอย่างไร

- กำหนดทิศทางองค์กร และความสัมพันธ์ของทิศทางกับภารกิจ, เป้าหมาย และกลยุทธ์

- รู้ว่าบริษัททำงานบนเครือข่ายไหน และรู้จักใช้เครือข่ายนั้นให้ได้ผล


ไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร

ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ การรู้ให้ได้ว่าอะไรที่คุณและองค์กรของคุณยังไม่รู้ แต่เรามักไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร บริษัทที่เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตนไม่รู้โดยไม่กลัวเกรงนั้นจะประสบความสำเร็จ บริษัทของคุณต้องเตรียมพร้อมที่จะสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้นี้

ในโลกทุกวันนี้ ทุกคนต้องเรียนรู้ทั้งสิ้น การจะทำเช่นนั้นได้ ต้องทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของคำบรรยายลักษณะงาน และการประเมินผลงานของพนักงานทุกคน สนับสนุนเงินทุนและให้เวลาในการเรียนรู้ ใช้วารสารภายในบริษัท หรือการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการเพื่อบอกเล่าถึงบรรดาพนักงานที่ทำงานได้ดีเพราะผลจากการเรียนรู้


การผนวกและซื้อกิจการ - สิ่งท้าทายทางวัฒนธรรม

หลายบริษัทตัดสินใจที่จะซื้อกิจการอื่น แทนที่จะขยายธุรกิจ หรือตอบสนองโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ปัญหาใหญ่ที่สุดของการซื้อกิจการก็คือวัฒนธรรมของ 2 องค์กรไม่ไปด้วยกัน ความจริงก็คือ ความแตกต่างนี้จะทำให้การซื้อหรือผนวกกิจการที่ไปได้ดี กลับต้องล้มลงอย่างไม่เป็นท่าในที่สุด ทันทีที่มีการประกาศว่าจะผนวกกิจการ พนักงานย่อมต้องมีปฏิกิริยาในแง่จิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็น ความเคลือบแคลงสงสัย, ลดความเชื่อมั่น และหันมาปกป้องตนเอง

มีทางเลือก 3 ทางในการซื้อกิจการ รักษา 2 วัฒนธรรมไว้อย่างแยกขาดจากกัน, เอาวัฒนธรรมใหม่มานำวัฒนธรรมเก่า หรือเชื่อม 2 วัฒนธรรมเข้าด้วยกัน โดยคงไว้แต่ส่วนที่ดีของทั้งคู่

 


วัฒนธรรมองค์กรคืออะไรคำนิยามที่ดีที่สุดของ
วัฒนธรรมองค์กรนั้นง่ายมาก คือ

- สิ่งที่เคยทำกันมา - เป็นแบบไอบีเอ็ม หรือเป็นแบบเอชพี

- บุคลิกขององค์กร

- สิ่งที่พนักงานทำเมื่อไม่มีใครคอยดูอยู่

ถ้าต้องการจะทำให้โครงการ

บรรลุผลใน เวลาของเน็ต

จงบริหารโครงการด้วยวิธีการดังนี้ ‘ หยิบเอาโครงการที่สำคัญและมีชื่อขึ้นมา 1 โครงการ จากนั้นนัดหารือกับหัวหน้าทีมงานเพื่อกำหนดระยะเวลาการทำงาน ให้ใช้เวลาราว 1 ใน 4 หรือครึ่งหนึ่งของเวลาปกติ

- ตั้งชื่อโครงการจากความเห็นของทุกคนที่เกี่ยวข้อง

- ซีอีโอ หรือผู้บริหารที่สำคัญควรเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน การมีส่วนร่วมของพวกเขาจะทำให้พนักงานรู้สึกว่าผู้บริหารก็ทำงานหนักเท่าๆ กับทุกคนที่อยู่ในโครงการ

- ต้องมั่นใจว่าผู้บริหารสามารถรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ในทางสร้างสรรค์ได้ และยอมรับคำวิจารณ์อย่างมีอารมณ์ขัน และรู้สึกขอบคุณ

- เปิดเผยให้พนักงานภายในบริษัทได้ทราบเกี่ยวกับโครงการ เล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับคนสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

- พร้อมรับมือกับปัญหาและสิ่งท้าทายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตลอดเส้นทาง แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาเป็นอันขาด ให้ทีมงานรู้ว่าเขาอาจต้องเจอปัญหาระหว่างทาง แต่จะไม่มีการเลื่อนกำหนดเวลาออกไปเป็นอันขาด

- คัดเลือกทีมงานที่มีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับโครงการ และอยากมีส่วนร่วม

ปีเตอร์ ดรักเกอร์

บนเส้นทางแห่งความเร็ว ปีเตอร์ ดรักเกอร์แนะนำบริษัทต่างๆ ที่ต้องการจะเร่งกระบวนการตัดสินใจให้เร็วขึ้น, เพิ่มความกล้าเสี่ยง และหันมามุ่งให้ความสำคัญกับสิทธิว่าควรทำสิ่งต่อไปนี้

นโยบายการรู้จักมองข้าม นั่นคือ เลิกยึดติดกับอดีต แต่มุ่งก้าวไปข้างหน้าในทิศทางใหม่ มองข้ามส่วนธุรกิจที่กินทรัพยากรมากและกำลังจะตาย ถ้าธุรกิจส่วนนั้นตัดเป็นบัญชีหนี้สูญแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีเวลาดีๆ เหลือให้ 2-3 ปี ไม่อย่างนั้นแล้ว ธุรกิจก็กำลังมองข้ามตลาดใหม่ไปอย่างน่าเสียดาย

ตั้งงบประมาณ 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารธุรกิจปัจจุบัน ในภาวะที่ยากลำบาก ตัดงบประมาณส่วนนี้ลง ในภาวะที่กิจการไปได้ดี คงไว้เท่าเดิม งบส่วนที่สองนั้นกันไว้เพื่ออนาคต โดยใช้เพื่อการพัฒนาธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตดี ห้ามตัดงบประมาณส่วนนี้แจ็ค เวลช์ และเดสทรอยยัวร์บิสซิเนสดอทค (ทำลายธุรกิจคุณเอง) เมื่อไม่นานมานี้ แจ็ค เวลช์ แห่งเจเนอรัล อีเล็คทริค ประกาศว่าจีอีจะผนวกหน้าที่งานทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต เขาเรียกกลยุทธ์นี้ว่า าdestroyyourbusiness.comำ และประกาศว่าทุกแผนกต้องเปลี่ยนการทำงานให้เป็น e-Business จะไม่มีการคงสายธุรกิจแบบเก่าไว้ แต่จะถูกแทนที่ด้วยผลิตภัณฑ์และกระบวนการที่ใช้อินเทอร์เน็ต จีอีทำลายการทำงานแบบเดิมไปอย่างได้ผลในการเปลี่ยนผ่านสู่ e-Businessแลกเปลี่ยนความรู้ที่ PARC

ที่ศูนย์ค้นคว้าวิจัยซีร็อกซ์ พาโล อัลโต้ (PARC) บรรดานักวิจัยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่พวกเขาทำงานอยู่ และขอให้มีการวิจารณ์ และแสดงความเห็นโดยใช้ไวท์บอร์ด จึงมีกระดานสีขาวแขวนอยู่ทั่วไป นักวิจัยจะเขียนรายละเอียดและความคิดเกี่ยวกับโครงการลงไป และเชื้อเชิญให้เพื่อนๆ ที่เดินผ่านไปมาช่วยเขียนวิจารณ์และแสดงความเห็น วิธีการนี้ทำให้มั่นใจว่าเมื่อเกิดปัญหา จะเห็นแนวทางการแก้ไขที่หลากหลายไม่มีการเรียนรู้แบบ

ป้อนถึงปาก ช่วงเวลาของการเรียกให้ทุกคนเข้าห้องเรียนเพื่อฝึกอบรมกำลังจะหมดไป เพราะวิธีการแบบนั้นไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามบริษัทต่างๆ กำลังใช้วิธีการดังนี้

- สร้างสถานที่เรียนแบบเคลื่อนที่

- ฝึกอบรมโดยใช้พี่เลี้ยง หรืออบรมในระหว่างทำงาน

- การเรียนรู้ในโลกไร้พรมแดน และ e-learning โดยการศึกษาจะถูกส่งผ่านดาวเทียม และอินเทอร์เน็ต

- มหาวิทยาลัยแบบออนไลน์หลายแห่ง เสนอบริการการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ตให้คนทำงานมืออาชีพที่ต้องการความรู้เพื่อปรับปรุงผลงาน และลงทุนด้านบุคลากร

- มหาวิทยาลัยในองค์กรหมายเหตุเกี่ยวกับผู้เขียน

Peg Neuhauser เป็นนักพูดและที่ปรึกษาองค์กรมากว่า 18 ปี เขาเชี่ยวชาญเรื่องวัฒนธรรมองค์กร การสื่อสาร และการจัดการกับความขัดแย้ง Ray Bender เป็นนักพูดและที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเป็นพันธมิตรธุรกิจ, การเป็นผู้นำ และการเปลี่ยนแปลงองค์กร Kirk Stromberg เป็นที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงองค์กรและบุคคลเคล็ดลับ 10 ข้อ

ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร

สำหรับสถานที่ทำงานไร้พรมแดน‘ สรรหาบุคลากรที่เหมาะกับวัฒนธรรม การหาคนทำงานที่เหมาะกับวัฒนธรรมนั้นง่ายกว่าการเปลี่ยนมุมมองของพวกเขา

- เร่งรัดวัฒนธรรมเดิม เลือกโครงการที่สำคัญ และจัดตั้งบริษัท แต่กำหนดระยะเวลาทำโครงการไว้สั้น ๆ

- จำไว้ว่า เมื่อมีการปฏิบัติ 1 ครั้งที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่คุณอยากจะเห็น คุณได้ 1 แต้ม การปฏิบัติหลายๆ ครั้งมีค่ามากกว่าคำพูดเพียงครั้งเดียวมากนัก

- เป็นผู้นำให้มากขึ้นและบริหารให้น้อยลง กำหนดทิศทางและปล่อยให้ทีมงานนำนาวาไป

- เลือกบุคคลตัวอย่างที่น่าเชื่อถือ ต้องให้มั่นใจว่าผู้บริหารทุกคนเห็นพ้องต้องกันดีแล้ว

- ป้องกันทีมงานดอทคอมจากการติดเชื้อ ให้พวกเขาทำงานอย่างเงียบเชียบที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีจากเซลล์เม็ดเลือดขาวในองค์กร

- เพิ่มไอคิวรวมให้กับองค์กร ให้พนักงานเรียนรู้จากความผิดพลาดและลองใหม่ การลองผิดลองถูกช่วยเพิ่มกระบวนการเรียนรู้ และองค์กรไอคิว

- ขยายระบบบริหารความรู้ของบริษัท

- วางแผนการผนวกรวม 2 วัฒนธรรม ทีมงานที่จัดตั้งขึ้นชั่วคราวอาจสร้างวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง แต่ต้องเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท


- ชี้แจงระดับความร่วมมือของแต่ละฝ่ายในการรวมเข้าเป็นพันธมิตร ต้องมั่นใจว่าคู่ค้าทั้ง 2 ฝ่ายเข้าใจข้อตกลงพื้นฐานแล้วเป็นอย่างดี

วัฒนธรรมองค์กรคืออะไรคำนิยามที่ดีที่สุดของ วัฒนธรรมองค์กรนั้นง่ายมาก คือ ‘ สิ่งที่เคยทำกันมา - เป็นแบบไอบีเอ็ม หรือเป็นแบบเอชพี ‘ บุคลิกขององค์กร ‘ สิ่งที่พนักงานทำเมื่อไม่มีใครคอยดูอยู่

ถ้าต้องการจะทำให้โครงการ
บรรลุผลใน "เวลาของเน็ต
จงบริหารโครงการด้วยวิธีการดังนี้

- หยิบเอาโครงการที่สำคัญและมีชื่อขึ้นมา 1 โครงการ จากนั้นนัดหารือกับ หัวหน้า ทีมงานเพื่อกำหนดระยะเวลาการทำงานให้ใช้เวลาราว 1 ใน 4 หรือครึ่ง หนึ่งของเวลาปกติ

- ตั้งชื่อโครงการจากความเห็นของทุกคนที่เกี่ยวข้อง

- ซีอีโอ หรือผู้บริหารที่สำคัญควรเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน การมีส่วนร่วมของพวกเขาจะทำให้พนักงานรู้สึกว่าผู้บริหารก็ทำงานหนักเท่าๆ กับทุกคนที่อยู่ในโครงการ

- ต้องมั่นใจว่าผู้บริหารสามารถรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ในทางสร้าง สรรค์ได้ และยอมรับคำวิจารณ์อย่างมีอารมณ์ขัน และรู้สึกขอบคุณ

- เปิดเผยให้พนักงานภายในบริษัทได้ทราบเกี่ยวกับโครงการ เล่าเรื่องราว ต่างๆ เกี่ยวกับคนสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

- พร้อมรับมือกับปัญหาและสิ่งท้าทายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตลอดเส้นทาง แต่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาเป็นอันขาด ให้ทีมงานรู้ว่าเขาอาจต้องเจอปัญหาระหว่างทาง แต่จะไม่มีการเลื่อนกำหนดเวลาออกไปเป็นอันขาด

- คัดเลือกทีมงานที่มีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับโครงการ และอยากมีส่วนร่วม

แลกเปลี่ยนความรู้ที่ PARC ที่ศูนย์ค้นคว้าวิจัยซีร็อกซ์ พาโล อัลโต้ (PARC) บรรดานักวิจัยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่พวกเขาทำงานอยู่ และขอให้มีการวิจารณ์ และแสดงความเห็นโดยใช้ไวท์บอร์ด จึงมีกระดานสีขาวแขวนอยู่ทั่วไป นักวิจัยจะเขียนรายละเอียดและความคิดเกี่ยวกับโครงการลงไป และเชื้อเชิญให้เพื่อนๆ ที่เดินผ่านไปมาช่วยเขียน วิจารณ์และแสดงความเห็น วิธีการนี้ทำให้มั่นใจว่าเมื่อเกิดปัญหา จะเห็นแนวทางการแก้ไขที่หลาก หลาย

ไม่มีการเรียนรู้แบบ ป้อนถึงปาก ช่วงเวลาของการเรียกให้ทุกคนเข้าห้องเรียนเพื่อฝึกอบรมกำลังจะหมดไป เพราะวิธีการแบบนั้นไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามบริษัทต่างๆ กำลังใช้วิธีการดังนี้

- สร้างสถานที่เรียนแบบเคลื่อนที่

- ฝึกอบรมโดยใช้พี่เลี้ยง หรืออบรมในระหว่างทำงาน

- การเรียนรู้ในโลกไร้พรมแดน และ e-learning โดยการศึกษาจะถูก ส่งผ่านดาวเทียม และอินเทอร์เน็ต

- มหาวิทยาลัยแบบออนไลน์หลายแห่งเสนอบริการการศึกษาผ่านอิน เทอร์เน็ต ให้คนทำงานมืออาชีพที่ต้องการความรู้เพื่อปรับปรุงผล งาน และลงทุนด้านบุคลากร

- มหาวิทยาลัยในองค์กร

เคล็ดลับ 10 ข้อ ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร

สำหรับสถานที่ทำงานไร้พรมแดน‘ สรรหาบุคลากรที่เหมาะกับวัฒนธรรม การ

หาคนทำงานที่เหมาะกับวัฒนธรรมนั้นง่าย กว่าการเปลี่ยนมุมมองของพวกเขา

- เร่งรัดวัฒนธรรมเดิม เลือกโครงการที่สำคัญ และจัดตั้งบริษัท แต่กำหนดระยะเวลาทำ โครงการไว้สั้นๆ

- จำไว้ว่า เมื่อมีการปฏิบัติ 1 ครั้งที่สะท้อนถึง การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่คุณอยากจะ เห็น คุณได้ 1 แต้ม การปฏิบัติหลายๆ ครั้ง

มีค่ามากกว่าคำพูดเพียงครั้งเดียวมากนัก

- เป็นผู้นำให้มากขึ้นและบริหารให้น้อยลง กำหนดทิศทางและปล่อยให้ทีมงานนำนาวา ไป

- เลือกบุคคลตัวอย่างที่น่าเชื่อถือ ต้องให้มั่นใจ ว่าผู้บริหารทุกคนเห็นพ้องต้องกันดีแล้ว

- ป้องกันทีมงานดอทคอมจากการติดเชื้อ ให้ พวกเขาทำงานอย่างเงียบเชียบที่สุดเพื่อหลีก เลี่ยงการถูกโจมตีจากเซลล์เม็ดเลือดขาวใน องค์กร

- เพิ่มไอคิวรวมให้กับองค์กร ให้พนักงานเรียน รู้จากความผิดพลาดและลองใหม่ การลอง ผิดลองถูกช่วยเพิ่มกระบวนการเรียนรู้ และ องค์กรไอคิว

- ขยายระบบบริหารความรู้ของบริษัท

- วางแผนการผนวกรวม 2 วัฒนธรรม ทีมงาน

ที่จัดตั้งขึ้นชั่วคราวอาจสร้างวัฒนธรรมที่ แข็งแกร่ง แต่ต้องเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท


- ชี้แจงระดับความร่วมมือของแต่ละฝ่ายในการ รวมเข้าเป็นพันธมิตร ต้องมั่นใจว่าคู่ค้าทั้ง 2 ฝ่ายเข้าใจข้อตกลงพื้นฐานแล้วเป็นอย่างดี

วัฒนธรรมองค์กรคืออะไรคำนิยามที่ดีที่สุดของ วัฒนธรรมองค์กรนั้นง่ายมาก คือ ‘ สิ่งที่เคยทำกันมา - เป็นแบบไอบีเอ็ม หรือเป็นแบบเอชพี ‘ บุคลิกขององค์กร ‘ สิ่งที่พนักงานทำเมื่อไม่มีใครคอยดูอยู่

ถ้าต้องการจะทำให้โครงการ
บรรลุผลใน "เวลาของเน็ต
จงบริหารโครงการด้วยวิธีการดังนี้

- หยิบเอาโครงการที่สำคัญและมีชื่อขึ้นมา 1 โครงการ จากนั้นนัดหารือกับ หัวหน้า ทีมงานเพื่อกำหนดระยะเวลาการทำงานให้ใช้เวลาราว 1 ใน 4 หรือครึ่ง หนึ่งของเวลาปกติ

- ตั้งชื่อโครงการจากความเห็นของทุกคนที่เกี่ยวข้อง

- ซีอีโอ หรือผู้บริหารที่สำคัญควรเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน การมีส่วนร่วมของพวกเขาจะทำให้พนักงานรู้สึกว่าผู้บริหารก็ทำงานหนักเท่าๆ กับทุกคนที่อยู่ในโครงการ

- ต้องมั่นใจว่าผู้บริหารสามารถรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์ในทางสร้าง สรรค์ได้ และยอมรับคำวิจารณ์อย่างมีอารมณ์ขัน และรู้สึกขอบคุณ

- เปิดเผยให้พนักงานภายในบริษัทได้ทราบเกี่ยวกับโครงการ เล่าเรื่องราว ต่างๆ เกี่ยวกับคนสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

- พร้อมรับมือกับปัญหาและสิ่งท้าทายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตลอดเส้นทาง แต่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาเป็นอันขาด ให้ทีมงานรู้ว่าเขาอาจต้องเจอปัญหาระหว่างทาง แต่จะไม่มีการเลื่อนกำหนดเวลาออกไปเป็นอันขาด

- คัดเลือกทีมงานที่มีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับโครงการ และอยากมีส่วนร่วม

แลกเปลี่ยนความรู้ที่ PARC ที่ศูนย์ค้นคว้าวิจัยซีร็อกซ์ พาโล อัลโต้ (PARC) บรรดานักวิจัยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่พวกเขาทำงานอยู่ และขอให้มีการวิจารณ์ และแสดงความเห็นโดยใช้ไวท์บอร์ด จึงมีกระดานสีขาวแขวนอยู่ทั่วไป นักวิจัยจะเขียนรายละเอียดและความคิดเกี่ยวกับโครงการลงไป และเชื้อเชิญให้เพื่อนๆ ที่เดินผ่านไปมาช่วยเขียน วิจารณ์และแสดงความเห็น วิธีการนี้ทำให้มั่นใจว่าเมื่อเกิดปัญหา จะเห็นแนวทางการแก้ไขที่หลาก หลาย

ไม่มีการเรียนรู้แบบ ป้อนถึงปาก ช่วงเวลาของการเรียกให้ทุกคนเข้าห้องเรียนเพื่อฝึกอบรมกำลังจะหมดไป เพราะวิธีการแบบนั้นไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามบริษัทต่างๆ กำลังใช้วิธีการดังนี้

- สร้างสถานที่เรียนแบบเคลื่อนที่

- ฝึกอบรมโดยใช้พี่เลี้ยง หรืออบรมในระหว่างทำงาน

- การเรียนรู้ในโลกไร้พรมแดน และ e-learning โดยการศึกษาจะถูก ส่งผ่านดาวเทียม และอินเทอร์เน็ต

- มหาวิทยาลัยแบบออนไลน์หลายแห่งเสนอบริการการศึกษาผ่านอิน เทอร์เน็ต ให้คนทำงานมืออาชีพที่ต้องการความรู้เพื่อปรับปรุงผล งาน และลงทุนด้านบุคลากร

- มหาวิทยาลัยในองค์กร

เคล็ดลับ 10 ข้อ ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร

สำหรับสถานที่ทำงานไร้พรมแดน‘ สรรหาบุคลากรที่เหมาะกับวัฒนธรรม การ

หาคนทำงานที่เหมาะกับวัฒนธรรมนั้นง่าย กว่าการเปลี่ยนมุมมองของพวกเขา

- เร่งรัดวัฒนธรรมเดิม เลือกโครงการที่สำคัญ และจัดตั้งบริษัท แต่กำหนดระยะเวลาทำ โครงการไว้สั้นๆ

- จำไว้ว่า เมื่อมีการปฏิบัติ 1 ครั้งที่สะท้อนถึง การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่คุณอยากจะ เห็น คุณได้ 1 แต้ม การปฏิบัติหลายๆ ครั้ง

มีค่ามากกว่าคำพูดเพียงครั้งเดียวมากนัก

- เป็นผู้นำให้มากขึ้นและบริหารให้น้อยลง กำหนดทิศทางและปล่อยให้ทีมงานนำนาวา ไป

- เลือกบุคคลตัวอย่างที่น่าเชื่อถือ ต้องให้มั่นใจ ว่าผู้บริหารทุกคนเห็นพ้องต้องกันดีแล้ว

- ป้องกันทีมงานดอทคอมจากการติดเชื้อ ให้ พวกเขาทำงานอย่างเงียบเชียบที่สุดเพื่อหลีก เลี่ยงการถูกโจมตีจากเซลล์เม็ดเลือดขาวใน องค์กร

- เพิ่มไอคิวรวมให้กับองค์กร ให้พนักงานเรียน รู้จากความผิดพลาดและลองใหม่ การลอง ผิดลองถูกช่วยเพิ่มกระบวนการเรียนรู้ และ องค์กรไอคิว

- ขยายระบบบริหารความรู้ของบริษัท

- วางแผนการผนวกรวม 2 วัฒนธรรม ทีมงาน

ที่จัดตั้งขึ้นชั่วคราวอาจสร้างวัฒนธรรมที่ แข็งแกร่ง แต่ต้องเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท


- ชี้แจงระดับความร่วมมือของแต่ละฝ่ายในการ รวมเข้าเป็นพันธมิตร ต้องมั่นใจว่าคู่ค้าทั้ง 2 ฝ่ายเข้าใจข้อตกลงพื้นฐานแล้วเป็นอย่างดี

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us