Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2542








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2542
ปิโตรเคมีไทย: รอด-ไม่รอดอยู่ที่จีน             
 





ช่วงที่เริ่มเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยกำลังอยู่ในช่วงลงทุนอย่างหนัก และเม็ดเงินที่ทุ่มลงไปส่วนใหญ่มาจากการระดมทุน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจึงส่งผลกระทบต่อสถานะของบริษัทปิโตรเคมีเป็นอย่างยิ่ง และบทสรุปของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทย คือ การพยายามหาทางรอดและต่อสู้กับความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่ออุตสาหกรรมดังกล่าว แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญคาดหวังว่าเศรษฐกิจได้ตกต่ำถึงขีดสุดและกำลังก้าวไปสู่การฟื้นตัว แต่ตลาดปิโตรเคมียังคงถดถอยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้เหตุผลว่าเกิดจากการเพิ่มโรงงานผลิตโอเลฟินส์ถึง 4 แห่งในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ กลุ่มบริษัทปูนซิเมนต์ไทย, ฟอโมซา (ไต้หวัน), ไทตัน (มาเลเซีย) และกูแดง (อินเดีย) ที่ขยายกำลังการผลิต 6 แสน ตัน, 4.5 แสนตัน, 3.3 แสนตัน และ 3.3 แสนตันต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้บริษัทต่างๆ ยังได้มีการปรับตัวเพื่อรับ สถานการณ์ อาทิ การรวมกลุ่มปิโตร เคมีใหญ่ๆ ในเกาหลีใต้ และการปรับโครงสร้างหนี้ที่กู้จากสถาบันการเงินต่าง ประเทศ

"การนำเข้าและส่งออกผลิตภัณฑ์ ปิโตรเคมีในภูมิภาคเอเชียกำลังเปลี่ยน แปลงไปอย่างรวดเร็ว ประเทศต่างๆ ในอาเซียนได้ทำการขยายกำลังการผลิตของตนเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาวะการแข่งขันในตลาดโลกรุนแรงยิ่งขึ้น"

สำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทย ในระยะแรกผลิตออกมาเพื่อสนอง ตอบความต้องการภายในประเทศ แต่ ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาเริ่มเปลี่ยนแผนเน้นผลิตเพื่อส่งออก เห็นได้จากการสร้างโรงงานผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2542 ไทยผลิตโอเลฟินส์ได้ทั้งสิ้น 2.7 ล้านตัน แต่ความต้องการภายในมีเพียงประมาณ 2.4 ล้านตัน ซึ่งเกินความต้องการตลาด ในประเทศประมาณ 3 แสนตัน ผู้ผลิต ย่อมต้องการหาทางส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ แล้วตลาดอยู่ที่ไหน? คือ คำถาม ของผู้ผลิตปิโตรเคมีไทยทั้งหลาย

ช่วงที่ผ่านมาแม้ธุรกิจปิโตรเคมีจะประสบกับปัญหามากมาย แต่ธุรกิจดังกล่าวถือได้ว่ามีอนาคต เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในภูมิภาคเอเชียขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดประเทศจีน

"ดังนั้นผู้ผลิตปิโตรเคมีของไทยไม่ควรมองข้ามตลาดนี้ ในปี 2533 จีนและประเทศกลุ่มอาเซียนเป็นผู้นำเข้าโอเลฟินส์รายย่อย ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรายย่อย แต่ในปี 2541 จีนกลายเป็นผู้นำเข้าโพลีเอทิลีนและโพลีโพรพิลีนรายใหญ่ที่สุดในโลก" ศูนย์วิจัย กสิกรไทย ชี้ทางออกให้กับผู้ผลิตปิโตรเคมีไทย

ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าความต้องการ โพลีโพรพิลีนของจีนจะเพิ่มจาก 3.2 ล้านตัน ในปี 2541 เป็น 5.6 ล้านตันในปี 2548 ทำให้จีนกลายเป็นผู้มีอิทธิ พลต่อตลาดปิโตรเคมีในอาเซียนและตลาดโลกในที่สุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่จีนหยุดซื้อ ไม่ว่าด้วยเหตุผลทางเศรษฐ กิจหรือทางการเมือง ราคาผลิตภัณฑ์ ปิโตรเคมีพลอยตกต่ำไปด้วย

"ในปีเดียวกันเกาหลีใต้ได้กลายเป็นผู้ส่งออกปิโตรเคมีรายใหญ่ โดยมีจำนวนการส่งออกประมาณ 1.2 ล้านตัน การเปลี่ยนแปลงจากผู้ซื้อรายย่อยมาเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ทำให้จีนเป็นตลาด ที่ผู้ประกอบการปิโตรเคมีทั่วโลกต้องการเข้าไปบุกเบิกตลาด"

แม้ว่าจีนเป็นแหล่งระบายผลิต ภัณฑ์ปิโตรเคมีและยั่วน้ำลายบรรดา ผู้ผลิตทั้งหลาย แต่ปัญหาที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญมีมากพอๆ กับโอกาส ที่มี เพราะจากการประเมินของกองทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเล (OECF) คาดว่าเศรษฐกิจในระยะยาวจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 7-8% ต่อปี เมื่อจีนต้องการให้เศรษฐกิจขยาย ตัว อย่างเนื่องจึงใช้ทรัพยากรส่วนใหญ่มาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญๆ ในประเทศ (Infrastructures) ส่งผลให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของจีนไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ ทำให้การจัด สรรงบประมาณจึงลดลงไปด้วย

"สาเหตุที่รัฐบาลจีนไม่พัฒนา ปิโตรเคมีให้ต่อเนื่องมองว่ามีคู่แข่งมาก ทั้งเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และไทย อีกทั้งตลาดปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลง เขาจึงคิดว่าซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีถูกกว่า เขาไม่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างโรงงานรองรับความต้องการในอนาคต" ความเห็นของศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ปัจจัยเหล่านี้เป็นโอกาสอันดียิ่งสำหรับผู้ประกอบการปิโตรเคมีของไทยในการนำผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไปจำหน่าย หรือเข้าไปร่วมลงทุนสร้างโรงงานในจีน เพราะรัฐบาลจีนเองก็คาดการณ์ว่าก่อนปี 2548 จะมีโรงงาน ปิโตรเคมีในจีนมากกว่าครึ่งที่เป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลจีนกับบริษัทต่างชาติ

อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการของไทยอย่าได้นิ่งนอนใจ เพราะคู่แข่งอย่าง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย ยิ่งเศรษฐกิจแต่ละประเทศยังอยู่ในช่วงขาลง ประเทศเหล่านี้ก็จ้องตลาดจีนตาเป็นมันเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเกาหลีใต้ที่เป็นผู้นำด้านราคาในภูมิภาคนี้ได้สร้างโรงงานขึ้นมาใหม่เพื่อส่งออกไปในจีนอย่างเดียว อีกทั้งการรวมกันระหว่างกลุ่มฮุนได (Hyundai Pe-trochemical) และกลุ่มซัมซุง (Sam-sung General Chemicals) ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งประเทศอื่นในด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำอย่างมาก

"ญี่ปุ่นเราไม่กลัวเพราะต้นทุนสูงมาก โรงงานส่วนใหญ่เก่าแก่มากและมีขนาดเล็ก บวกกับตอนนี้รัฐบาลเขาให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในประเทศจึงไม่ได้สนใจใน ปิโตรเคมีมากนัก"

ในปี 2542 จีนจะบริโภคโพลีเอ-ทิลีนในสัดส่วน 14.4% และโพลิโพรพิลีน 21.7% ของความต้องการผลิต ภัณฑ์ดังกล่าวในตลาดโลก ทำให้จีนเป็นตัวแปรสำคัญของการฟื้นตัวอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโลก หากจีนยังมีนโยบายที่จะชะลอการพัฒนาอุตสาห-กรรมดังกล่าวต่อไปจะสามารถช่วยลดภาวะปิโตรเคมีล้นตลาดของไทยได้ด้วย บริษัทปิโตรเคมีไทยจะสามารถผลิตในอัตราสูงสุดซึ่งจะช่วยให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ (Economy of Scale) และแข่งขันกับคู่แข่งได้ เพราะช่วงนี้ผู้ประ-กอบการไทยไม่สามารถผลิตได้เต็มที่เนื่องจากอุปทานล้นตลาด แต่หากเข้า ไปเจาะตลาดจีนได้อุตสาหกรรมปิโตร-เคมีไทยน่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี

ภายใต้การแข่งขันที่ดุเดือด ผู้ประกอบการปิโตรเคมีไทยคงต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขัน และพยายามแทรกตัวให้อยู่ในตลาดนี้ให้ได้ในอนาคต บริษัทที่คิดจะเก็บเกี่ยวผลกำไรในช่วง 3 ปีข้างหน้า ต้องเริ่มวางกลยุทธ์การลงทุนในขณะนี้ เนื่องจากโรงงานที่สร้างขึ้นใหม่และเดินเครื่องได้ในช่วงที่ตลาดกำลังฟื้นตัวเต็มที่ จะมีโอกาสอยู่รอดได้ดีกว่าโรงงานที่เดินเครื่องช่วงตลาดฟื้นตัวสูงสุดแล้ว นักวิเคราะห์ชี้ว่าบริษัทปิโตรเคมียักษ์ใหญ่ของไทยควรตักตวงผลประโยชน์ในช่วงตลาดฟื้นตัวให้ได้มากที่สุด ส่วนบริษัทขนาดกลางหรือเล็กควรชะลอหรือหยุดการลงทุนชั่วคราวเพื่อรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us