บ่ายสามโมงตรงของวันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2542 สุทธิชัย หยุ่น รอง ประธานกรรมการบริหารบริษัทไอทีวี
จำกัด เปิดห้องประชุมฝ่ายข่าวของไอทีวี เพื่อแถลงข่าวบนชั้น 22 ของอาคารไทยพาณิชย์ปาร์คพลาซ่า
ท่ามกลางสื่อมวลชนจำนวนมาก รวมทั้งพนักงาน ฝ่ายข่าวของไอทีวี
นับเป็นการตอบโต้ครั้งแรกของสุทธิชัย หลังจากมีกระแสข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ช่วง
2-3 วันก่อนหน้านี้ ทั้งหมดนี้ระบุถึงปัญหาความขัดแย้งภาย ในระหว่างสุทธิชัย
และผู้บริหารไอทีวี ที่มาจากธนาคารไทยพาณิชย์
เนื้อหาที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์รายวันมติชน ไทยรัฐ ผู้จัดการรายวัน
และไทยโพสต์ วันที่ 25 มิถุ-นายน ระบุถึงความต้องการผ่าตัดโครง สร้างของประกิต
ประทีปะเสน อดีตรอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เพิ่งเลือกโปรแกรมเกษียณอายุก่อนกำหนด
ลาออกจากแบงก์ไปหมาดๆ และถูกเลือกจากแบงก์ไทยพาณิชย์ให้มาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทไอทีวีแทน
โอฬาร ไชยประวัติ
หลังมารับตำแหน่ง ประกิต ได้ประกาศจะแก้ปัญหาขาดทุนของ ไอทีวี โดยปรับผังรายการใหม่
ให้เน้นบันเทิงมากขึ้น พร้อมกับลงมือผ่าตัดโครงสร้างการบริหารงานภายใน โดยยุบบอร์ดบริหาร
ที่มีบรรณวิทย์ บุญญรัตน์ เป็น ประธานกรรมการบริหาร ซึ่งเวลานี้ได้ลาออกไปก่อนหน้านี้แล้ว
และให้การบริหารงานอยู่ในมือของคณะกรรมการ บริษัท (บอร์ดใหญ่) ซึ่งจะประกอบด้วย
ผู้ถือหุ้นทั้ง 13 ราย ซึ่งประกิตให้เหตุผล กับ "สื่อมวลชน" ว่า เพื่อให้เกิดความคล่องตัว
ไม่ซ้ำซ้อน
การเข้ามากวาดบ้านในไอทีวีของ ประกิตสร้างความไม่พอใจให้กับสุทธิชัย หยุ่นอย่างมาก
เพราะการยุบบอร์ดบริหารเท่ากับว่า ตำแหน่งรองประธาน กรรมการบริหารฝ่ายข่าวที่สุทธิชัยนั่งอยู่ต้องถูกยุบไปด้วย
เนื้อข่าวยังระบุด้วยว่า สุทธิชัยเตรียมถอน 3 รายการที่บริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย
กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผลิตป้อนให้ไอทีวี คือ วิเคราะห์ข่าวที่มีสรยุทธ สุทัศนะจินดา
เป็นผู้ดำเนินรายการ รายการสาระขันของกฤษณะ ไชยรัตน์ และรายการอีซี่ อิงลิช
ของแอนดรูว์ บิกส์ ออกจากผังรายการของ ไอทีวี พร้อมกับคืนรถประจำตำแหน่งและโทรศัพท์มือถือ
ถัดมาวันเสาร์ 26 มิถุนายนข่าว ประกิตยังคงให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชน
แต่ครั้งนี้เขาระบุถึงการปรับโครงสร้างของไอทีวีที่จะต้องแบ่งบทบาทการทำงาน
ให้มีความชัดเจนว่าใครจะทำอะไร รวมไปถึงโครงสร้างของผู้ที่ต่ำกว่ากรรมการผู้จัดการใหญ่
ซึ่งโครงสร้างใหม่ที่เปลี่ยนแปลงนี้จะแถลงในวันที่ 29 มิถุนายน เนื้อหาในมติชน
ยังระบุถึงการให้ สัมภาษณ์ของ สุภาพ คลี่ขจาย ผู้อำนวยการสถานี ถึงความจำเป็นในการ
เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารงาน ที่สอดรับกับเหตุผลที่ประกิตได้ให้ไว้ก่อนหน้านี้
และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้กระทบกับบทบาทของสุทธิชัย เพราะที่แล้วมาสุทธิชัยก็เพียงเสนอแนะ
แสดงความคิดเห็นเท่านั้น
ส่วนการปรับเปลี่ยนผังรายการเน้นบันเทิงตามนโยบายของประกิตนั้น สุภาพให้ความเห็นว่า
ถ้าฝ่ายข่าวจะเอา มันอย่างเดียวโดยไม่นึกถึงรายได้ของสถานีก็ไปไม่รอด
ในบทสัมภาษณ์ยังระบุถึงสาเหตุการถอน 3 รายการของเนชั่นออกจากไอทีวีว่าเป็นเพราะปัญหาเรื่องค่าเช่าเวลา
ที่เนชั่นติดค้างค่าเช่าเวลาของไอทีวี 10 กว่าล้านบาท
ถัดมาในจันทร์ 28 มิถุนายน ผู้จัด การรายวัน อ้างถึงแหล่งข่าวจากธนาคารไทยพาณิชย์
ระบุถึงปัญหาขาดทุนของไอทีวีที่มีตัวเลขตกเดือนละ 30 ล้านบาท และเป็นสาเหตุทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์ต้องรื้อโครงสร้างของไอทีวี
ให้อยู่ภายใต้แผนงานของธนาคารไทยพาณิชย์ ให้อำนาจอยู่กับบอร์ดใหญ่
ทั้งหมดนี้เป็นเชื้อไฟที่ระเบิดออก มาในวันแถลงข่าว ด้วยท่าทีของสุทธิชัย
จึงเต็มไปด้วยความดุเดือด แข็งกร้าว ที่พร้อมเปิดศึกกับผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์อย่างเต็มที่
สุทธิชัยระบุว่า การแถลงข่าว วันนี้เพื่อยืนยันว่า ไม่ได้ลาออกไปไหนและจะไม่ไปไหนตราบใดที่ยังเป็นกรรม
การ และเป็นผู้ถือหุ้นในไอทีวีอยู่ จะต้องปกปักรักษาฝ่ายข่าวของไอทีวีอย่าง
เต็มที่ รักษาไว้ซึ่งความเป็นอิสระ และ คุณภาพที่ประชาชนตั้งความหวังไว้
"ผมไม่เข้าใจว่าประธานคนใหม่ของไอทีวียุบเลิกคณะกรรมการบริหารของไอทีวีด้วยเหตุผลอะไร
ที่บอกว่าซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการใหญ่ฟังดูก็แปลก เพราะแม้กระทั่งธนาคารไทยพาณิชย์เองก็มีบอร์ดใหญ่
และบอร์ดเล็ก หน้าที่ของกรรมการใหญ่ และกรรมการเล็กต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ต้อง ตัดสินใจกันเป็นนาทีต่อนาที ไม่ใช่เรื่องที่ประชุมกันเดือนละครั้งจะทำ
ให้เป็นสถานีที่มีคุณภาพ"
ตลอดการแถลงข่าวในวันนั้น สุทธิชัยตอกย้ำถึงการเข้ามาปรับปรุงโครงสร้างไอทีวีของประกิต
ที่มุ่งแก้ปัญหารายได้ จนก่อให้เกิดความแตกแยก และปั่นป่วนขึ้นในฝ่ายข่าวของไอทีวี
และที่สำคัญจะส่งผลต่อจุดยืนของการเป็นสถานีข่าวของไอทีวีเกิดการเปลี่ยนแปลง
เพราะนี่คือไพ่ใบสำคัญที่สุทธิชัย ที่จะอาศัยฐานเสียงจากมวลชน และฝ่ายข่าวของไอทีวี
ในการต่อรองกับแบงก์ไทยพาณิชย์
ในสายตาของสุทธิชัย เขาเชื่อว่า ความสำเร็จของไอทีวีมาจากการทุ่มเทของตัวเขาและทีมงานของเนชั่น
ที่มาร่วมกันบุกเบิกสร้างทีมงานข่าวของไอทีวี และการเป็นสถานีข่าวของไอทีวี
ก็เป็นตัวที่ทำรายได้ให้กับไอทีวี 80%
แต่เป็นการทำไม่ใช่ในลักษณะของการครอบงำ แต่เป็นเพราะความทุ่มเท และเสียสละ
"ถ้าผมจะผิดก็มีอย่างเดียว คือ ทำงานมากไป ขยันมากไป"
ความรู้สึกของสุทธิชัยต่อการกระทำของแบงก์ไทยพาณิชย์ในการปรับโครงสร้างครั้งนี้ไม่ต่างจากประ-โยคที่ว่า
"เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล"
ทุ่นระเบิดที่สุทธิชัยที่ส่งไปถึงแบงก์ไทยพาณิชย์ ยังถูกส่งต่อไปยังสุภาพ
คลี่ขจาย ด้วยข้อกล่าวหาว่าด้วย เรื่องของจริยธรรม ซึ่งสุทธิชัยระบุถึงการบริษัทเอกชนรายหนึ่งอยากออกราย
การไอทีวีทอล์กให้เงินมา 2 แสนบาทผ่านฝ่ายการตลาดที่มีสุภาพ คลี่ขจาย เป็นคนสัมภาษณ์
สุทธิชัย กล่าวต่อด้วยอารมณ์อัน ตึงเครียดว่า "สุภาพมีปัญหาจริยธรรมมากในอดีต
ประวัติไม่ดีนัก และเคยมีคนมาเตือน ล่าสุดยังไปฝากตำรวจทางใต้ เคยเตือนว่า
เป็นคนทำข่าวอย่า ไปทำเสียเอง สุภาพเปลี่ยนสีได้ ถ้าอย่างนี้แล้วคนรุ่นใหม่จะเป็นอย่างไร"
นั่นเป็นเพราะว่า สุทธิชัยบังเอิญ ไปรู้ว่ามาฝ่ายข่าวที่เทพชัย หย่อง เป็นคนรับผิดชอบอยู่
กำลังถูกผ่าออกเป็น 3 ซีก และหนึ่งในนั้นที่จะเข้ามามีบทบาท มากขึ้นก็คือ
สุภาพ คลี่ขจาย อดีตคนของเนชั่น และ อัชฌา สุวรรณแพรก และนั่นเท่ากับว่าบทบาทของเทพชัย
หย่องจะลดลง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สุทธิชัยไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
การเผชิญหน้าที่ทำให้สถานการณ์ ของสุทธิชัย ซึ่งเคยตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
ตีตื้นขึ้นมาทันที แม้ว่างานนี้สุทธิชัย จะถูกมองจากสื่อมวลชนทั่วไปว่า เป็นการใช้อารมณ์
และลากไส้คนภาย ในขึ้นมาสาวกันเองก็ตาม
ถ้อยแถลงของสุทธิชัย ถูกถ่ายทอดสดวิทยุคลื่น 90.5 เป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงเต็ม
และยังนำไปเปิดออกอากาศอีกรอบในช่วงเย็นของวันเดียว กัน และช่วงเช้าของวันถัดมา
ขณะที่หนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกฉบับ ถ่ายทอดเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างละเอียด
และให้น้ำหนักไปกับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างสุทธิชัยและสุภาพ ส่วนเดอะเนชั่นนอกจากนำเสนอ
ประเด็นของ สุทธิชัย หยุ่น ยังเสริมด้วยการสัมภาษณ์ความเห็นของจิรายุ อิศรางกูร
ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ต่อกรณีที่เกิดขึ้น
และภาพของสุภาพยังคงปรากฏบนหน้าจอไอทีวีในวันถัดมาเหมือนดังเช่นทุกวัน
พร้อมกับคำกล่าว ได้เคลียร์ ปัญหากับสุทธิชัยแล้ว
หลังจากใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงเต็ม ของวันอังคารที่ 29 มิถุนายน การประชุมคณะกรรมการ
(บอร์ดใหญ่) ของบริษัท อันประกอบด้วยผู้ถือหุ้น 13 ราย ต่างก็เดินออกมาด้วยรอยยิ้มของทั้งสองฝ่าย
ประกิต และสุทธิชัย ร่วมกันให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้คุยทำความเข้าใจด้วยอัธยาศัยที่ดี
ซึ่งที่ผ่านมาต่างฝ่ายอาจไม่เข้าใจกัน มองกัน คนละด้าน แต่ขณะนี้ได้ทำความเข้า
ใจ กันอย่างดีแล้ว และจะร่วมทำงานกัน ต่อไป
ทั้งหมดร่วมกันปิดฉากการบาด หมางครั้งนี้ ด้วยการจัดตั้งคณะกรรม การจัดการขึ้น
ประกอบไปด้วย นพพร พงษ์เวช ศรัณย์ทร และ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการทุกฝ่าย
รวมทั้งฝ่ายข่าว เช่นเดียวกับรายการทั้ง 3 ของเนชั่น จะยัง คงบรรจุอยู่ในผังรายการเดิม
ส่วนค่าเช่า ต้องตกลงกัน และคำยืนยันจากปากของ ประกิต ถึงอิสระในการนำเสนอได้โดยจะไม่มีการแทรกแซง
ส่วนสุภาพ คลี่ขจาย ที่ตกเป็น จำเลยด้วยข้อหาขาดจริยธรรม อันเป็น ระเบิดลูกใหญ่ที่สุทธิชัยโยนไปให้
สุทธิชัยก็ให้สัมภาษณ์หลังจากประชุมว่า ได้รับฟังคำชี้แจงของสุภาพแล้ว และเข้าใจว่าการที่สุภาพให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์มติชนไม่ใช่เพราะตั้งใจ
แต่ เป็นเพราะสถานการณ์ที่บังคับให้สุภาพ ต้องทำเช่นนี้
ถัดจากนั้นอีกวัน ก็มีข่าวของการ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบจริยธรรมขึ้นในไอทีวีพร้อมกับข้อเขียน
ที่ว่าด้วยเรื่องจริยธรรมในคอลัมน์ของกาแฟดำ การปิดฉากในวันนั้น แม้ว่าจะจบ
ลงด้วยความชื่นมื่นของทั้งสองฝ่าย ด้วยภาพการจับมือกันระหว่างสุทธิชัย ประกิต
และศรัณย์ทร ปรากฏหราบนหน้าหนังสือพิมพ์ในวันถัดมา แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ภาพเหล่านั้น
เชื้อไฟที่สงบลงชั่วคราวจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ตราบใดที่ปัญหารายได้ของไอทีวี
ยังไม่ได้รับการแก้ไข