คนคนนี้ ไม่ชอบแสดงตัวเป็นข่าว แต่พยายามสร้างสัมพันธ์อันดีกับนักหนังสือพิมพ์อย่างลึกๆ
มีประสบการณ์ทำงานตั้งแต่เด็กๆ เพียงอายุสัก 18 ปี ผ่านบทเรียน โชกโชน ในด้านการค้าส่งออกข้าว
ได้ชื่อว่าเป็นนักกลยุทธ์ที่มองยาว-มองสั้นอย่างถูกจังหวะ เขาจึงเป็นทายาทพ่อค้าข้าวเชื้อสายจีนเพียงไม่กี่คนที่
ผู้พ่อ-ผู้ก่อตั้งกิจการไว้วางใจ ปล่อยมือให้บริหารกิจการของครอบครัว ตลอดจนปล่อยให้ออกสู่โลกภายนอก
สร้างอาณาจักรธุรกิจใหม่ๆ
พ่อของเขาชื่อ เบ๊ เตีย ฮุย ชายจีนโพ้นทะเลคนหนึ่ง หอบเสื่อผืนหมอนใบล่องทะเลจีนใต้
สู่แผ่นดินสยาม แต่แตกต่างกับคนจีนทั่วไป ตรงที่เขาเริ่มงานครั้งแรกที่จังหวัดเชียงราย
ค่อยๆ สะสมทุนและผันตัวเองเป็นเจ้าของกิจการโรงสีขนาดเล็กแห่งหนึ่ง จากโรงสีบุกเข้าสู่ใจกลางของวงการค้าข้าว
ทำหน้าที่เป็น "หยง" ที่วรจักร ซึ่งไม่ห่างทรงวาด เป็นตัวแทนโรงสีหลายโรงรับซื้อขายแก่พ่อค้าส่งออกอีกทอดหนึ่ง
ลูกสามคนแรกของเขาเกิดที่นี่ คนแรกเป็นหญิง คนที่สองเป็นชายถูกส่งไปเรียนที่สิงคโปร์ตั้งแต่เด็ก
และกรพจน์ อัศวินวิจิตร
ปี 2508 หรือตอนกรพจน์อายุ 9 ขวบ จากห้องแถวห้องเดียวเล็กๆ แถววรจักร ก็ย้ายสู่ย่านสวนมะลิเป็นห้องแถว
2 ห้องหลายชั้น ขณะนั้นยังเป็นที่ว่างเปล่าอยู่มาก ธนาคารศรีนครสำนักงานใหญ่ก็ยังไม่ได้สร้างขึ้น
การส่งออกข้าวยุคนั้น เป็นยุคพ่อค้านั่งอยู่เฉยๆ ผู้ซื้อเดินมาหา และค่อยสถาปนาระบบการค้าข้าวขึ้นมา
ตลาดส่วนใหญ่เป็นตลาดแบบ "พี่น้องชาวจีนโพ้นทะเล" ด้วยกัน ย่านอินโดจีนเท่านั้น
สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง โดยอาศัยสายสัมพันธ์เครือญาติเป็นหัวใจ
เบ๊ เตีย ฮุย หรือ อวยชัย อัศวินวิจิตร มีความคิดจะบุกเบิกตลาดข้าวไทยให้กว้างขวางขึ้น
!
จากแนวความคิดนี้เองได้ก่อรูปเป็นยุคถัดมาของการค้าข้าว ผู้ส่งออกข้าวไทยเดินทางออกหาผู้ซื้อเอง
ปี 2511 บริษัทแสงทองค้าข้าว (1968) ตั้งขึ้น ตอนนั้นกรพจน์ อายุเพียง 12
ปี เพิ่งเข้าโรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล ภายหลังจบจากโรงเรียนจีนระดับประถมต้นแล้ว
แสงทองค้าข้าวใช้เวลาถึง 7 ปี แนวความคิดเจาะตลาดใหม่จึงบรรลุผล ในปี 2515
สามารถขายข้าวไทยครั้งแรกให้รัฐบาลอินเดีย อวยชัยเองได้มีโอกาสเดินทางเข้าพบประธานาธิบดีเนรูห์
แห่งอินเดียด้วย ยุทธวิธีในการบุกตลาดใหม่คือ อาศัยโบรกเกอร์จากญี่ปุ่น-เกาหลีใต้
เทรดดิ้งเฟิร์มญี่ปุ่นซึ่งทำหน้าที่เป็นโบรกเกอร์ไปด้วยในตัวนี้ ช่วยแสงทองค้าข้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ
ย่านตะวันออกกลาง ส่วนแอฟริกานั้น แสงทองค้าข้าวดำเนินกลยุทธ์เดียวกัน คืออาศัยโบรกเกอร์ยุโรป
ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเหล่านี้มาในประวัติศาสตร์ยาวนาน
กรพจน์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าข้าวโดยตรงในปี 2520 เมื่อเรียนธรรมศาสตร์อยู่ปี
1 ด้วยเหตุมีใจฝักใฝ่การค้า เขาจึงสมัครเข้าเรียนในคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดยเรียนภาคค่ำ เพื่อใช้เวลากลางวันช่วยการค้าของครอบครัว อายุประมาณ 18
ปี เขาจึงเรียนรู้และจับงานค้าส่งออกโดยตรง
ผลงานยิ่งใหญ่ของเขาคือการเปิดตลาดอิหร่านในช่วงพระเจ้าซาร์ยังเรืองอำนาจสำเร็จ
ขายข้าวจำนวนหลายหมื่นตัน แสงทองค้าข้าวกลายเป็นผู้ส่งออกข้าวรายแรกและถือเป็นผลงานของกรพจน์ด้วย
เนื่องจากแสงทองค้าข้าวบุกเบิกตลาดใหม่ๆ ก่อนใครๆ กลุ่มนี้จึงผงาดขึ้นในยุทธจักรเป็นผู้ส่งออกท็อปไฟว์มาหลายปี
และได้ชื่อว่า เป็น "เจ้าพ่อข้าวนึ่ง" เนื่องมาจากเป็นผู้บุกเบิกตลาดข้าวคุณภาพต่ำ
และดำเนินกลยุทธ์เกาะติดตลาดนั้นๆ อย่างเหนียวแน่น กรพจน์ อัศวินวิจิตร เคยกล่าวว่า
ตนเองเสียดายที่ไม่ได้ผ่านชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างเต็มรูป ร่วมทำกิจกรรมมีเพื่อนฝูงเพราะต้องเรียนภาคค่ำ
ซึ่งวิถีชีวิตของนักศึกษาภาคค่ำแตกต่างจากภาคปกติอย่างมาก แต่อย่างไรเมื่อชั่งน้ำหนักกับบทเรียนการค้าส่งออกข้าว
ข้าวโพด ในช่วงนั้นประมาณ 3 ปี ก็ต้องถือว่าคุ้มค่าไปอีกแบบ
หลังจากเรียนจบเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ แล้วกรพจน์กระโดดเข้าทำงานให้ครอบครัวเต็มตัว
อีก 2 ปี จึงตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ รวมแล้วในช่วงแรกของชีวิต ประสบการณ์การค้าข้าวในยุคการค้าข้าวของประเทศหัวเลี้ยวหัวต่อ
5 ปี ที่สหรัฐอเมริกา เขาตั้งใจเรียนเอ็มบีเอ. ที่ University of Sou-thern
California อย่างเดียวโดยไม่ต้องพะวักพะวนเรื่องการค้าของครอบครัว เขาบอกว่า
"เป็นการเปิดหูเปิดตารับรู้โลกกว้างอีกแบบหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาทุกด้าน
ซึ่งแตกต่างจากประสบการณ์การค้าข้าวพบเห็นแต่ประเทศด้อยพัฒนา"
ปี 2524 เขาเดินทางกลับประเทศไทย
กรพจน์พบว่า การค้าส่งออกสินค้าพืชไร่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
อันเนื่องมาจากการพัฒนาด้านการสื่อสารการคมนาคม สังคมไทยได้เข้าสู่สังคมสื่อสารบรรดาพ่อค้าข้าวไม่ว่ารายเล็กรายใหญ่
สามารถซื้อหาข้อมูลข่าวสารได้พอๆ กัน "เมื่อก่อนใครมีเทเล็กซ์ก็นับว่าสะดวกมากแล้ว
แต่ช่วงนี้ใครๆ ก็มี "เขายกตัวอย่าง ดังนั้น การแข่งขันมุ่งหนักในเรื่องราคา
ปรากฏการณ์การแข่งตัดราคาเอาเป็นเอาตายเกิดขึ้นจนเป็นที่วิตกทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้าเล็กๆ
ที่เคยหากินกับระบบโควตาหรือใช้ห้องประชุมแบ่งอาหารจานเดียวกัน ประกอบกับนโยบายค้าข้าวเสรีของรัฐบาลติดตามมาด้วย
ด้านข่าวสารทั้งภายในและต่างประเทศก็เหมือนกัน ข่าวการประมูลเป็นข่าวที่ถูกกระพือกันอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งข่าวรอยเตอร์ หนังสือพิมพ์ธุรกิจในบ้านเรา การเก็บออร์เดอร์เพื่อรอจังหวะหรือสร้างตลาดเพื่อรับซื้อข้าวในประเทศในราคาถูก
เพื่อส่งออกตามกำหนดเวลาไม่สามารถทำได้อีกต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แสงทองค้าข้าวก็ยังผงาดในยุทธจักรต่อไป ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดไม่ยากเย็นนัก
พร้อมๆ กับชื่ออวยชัย และบทบาทของเขาลดถอยลงตามลำดับ ลูกชายเข้ามามีบทบาทมากขึ้นจากอยู่อย่างเงียบๆ
ได้ออกหน้าสู่สาธารณชนแล้ว !
กรพจน์เป็นทายาทของพ่อค้าข้าวระดับหัวแถว นอกจากสะสมบทเรียนการค้าข้าวในอดีต
เขายังเป็นพ่อค้าที่ก้าวทันสถานการณ์อย่างดีเยี่ยมด้วย บวกกับแนวความคิดที่ได้จากเรียนเอ็มบีเอ
เกี่ยวกับธุรกิจที่มั่นคงและมีอนาคต เป็นแรงผลักดันให้กรพจน์ผลักดันให้ครอบครัวเห็นคล้อยตามว่า
แสงทองค้าข้าว ควรจะต้องเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ กรพจน์ เป็นคนแรกที่บุกเบิกธุรกิจนี้ในครอบครัว
ประสานสายสัมพันธ์ของผู้พ่อซึ่งใกล้ชิดกับนักธุรกิจในฟิลิปปินส์ ชักนำอายาล่ากรุ๊ป
ซึ่งมีประสบการณ์และโนว์ฮาวกิจการประกันชีวิตเข้าร่วมถือหุ้นและเข้าจัดการบางส่วน
ในเวลาใกล้เคียงเป้าหมายก็มุ่งสู่กิจการธนาคารด้วย เริ่มจากธนาคารเล็กสุด
คือแหลมทอง อันประจวบเหมาะธนาคารนี้อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง โดยกลุ่มสมบูรณ์
นันทาภิวัฒน์ ไม่มีมากพอจึงระดมพรรคพวก วานิช ไชยวรรณ แห่งไทยประกันชีวิต
ถูกชักชวนในส่วนเพิ่มทุน กลุ่มแสงทองค้าข้าวผ่านจากกลุ่มวาณิช สามารถครอบครองหุ้นในชั้นแรกประมาณ
3% พร้อมๆ กันนั้นกรพจน์ก็มุ่งหน้าสู่ธนาคารสหธนาคาร นับได้ว่าเมื่อมีเป้าหมายการเข้าสู่ธุรกิจอื่นแจ่มชัด
ก็พุ่งแรงอย่างเต็มเหนี่ยวและหลายทาง เขาเป็นเพื่อนนักเรียนเซ็นต์คาเบรียลด้วยกันกับ
เศรณี เพ็ญชาติ ลูกชายคนโตของชำนาญ เพ็ญชาติ ในสหธนาคาร ความขัดแย้งระหว่างศึกสองตระกูล
ชลวิจารณ์-เพ็ญชาติ ใน ธนาคารดังกล่าวกำลังปะทุ กรพจน์เข้าทางเพ็ญชาติ ระดมซื้อหุ้นทั้งทางตลาดหลักทรัพย์
และจากเพ็ญชาติเอง
เมื่อบรรลุเป้าหมายเช่นนี้ แสงทองค้าข้าวจึงตัด สินใจขายหุ้น 3% ในธนาคารแหลมทองทิ้งไปในราคาที่ดีและได้กำไรพอสมควร
เพื่อทุ่มเค้าหน้าตักสู่ธนาคาร สหธนาคาร
กลุ่มแสงทองค้าข้าวในปี 2528 พุ่งแรงแซงตลอด จริงๆ เข้ายึดธุรกิจใหม่อย่างสง่าผ่าเผยใน
2 ประเภท อย่างรวดเร็ว ในเวลาใกล้เคียงกันก็ทุ่มเงินหลายสิบล้าน ซื้อที่หลังธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่
ว่ากันว่าเป็นของ สว่าง เลาหทัย เพื่อเคลียร์หนี้กับชาตรี โสภณพนิช บิ๊กบอสธนาคารกรุงเทพไปบางส่วน
ติดตามมาด้วยการประกาศสร้างอาคารสูงกว่า 10 ชั้น ด้วยเงินลงทุนประมาณ 500
ล้านบาท สถาปนิกออกแบบไปเรียบ ร้อยแต่แผนดังกล่าวต้องมาสะดุดชั่วคราวเพราะกฎหมายควบคุมอาคารของ
กทม. เวลาประมาณ 3-4 ปี เขาบุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ได้ค่อนข้างรวดเร็ว เร็วกว่ายุคที่แสงทองค้าข้าวบุกค้าข้าวนอกตลาดประจำก่อนใครๆ
เช่นเดียวกันก็ได้กลายเป็นพ่อค้าข้าว ที่ใช้เวลาก่อร่างสร้างกิจการไม่นานนักปรับตัวเปลี่ยนแปลงเร็วเช่นนี้
กรพจน์ อัศวินวิจิตร เป็นคนเงียบๆ ใช้ชีวิตค่อนข้างง่ายๆ เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการทำงาน
การพบปะผู้คน หรือนักธุรกิจเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนข่าวสาร เจรจาธุรกิจกันเงียบๆ
ตามห้องอาหารโรงแรมมากกว่าการออกงานเลี้ยงตามโรงแรมซึ่งดูเอิกเกริก ไม่ดื่มสุรา
ไม่สูบบุหรี่ ชอบทานก๋วยเตี๋ยวมากกว่าข้าว บางคนบอก ว่าเขาอยู่ในระยะสะสมบารมี
ประสบการณ์ ประกอบกับอายุยังน้อย
ภรรยาของกรพจน์ เป็นลูกสาวเครือเบทราโก อุตสาหกรรมการเกษตรคู่ปรับซีพี
ซึ่งเป็นพันธมิตรการค้าสินค้าพืชไร่ของแสงทองค้าข้าวมายาวนานด้วย ในนามธนาพรชัย
จึงดูส่งเสริมธุรกิจของเขาให้แน่นขึ้น
ผู้ใกล้ชิดบอกว่ากรพจน์ อาจดูไม่เหมาะกับการบริหารกิจการแบบวันต่อวัน แต่เขาเหมาะสำหรับการวางแผน
และด้วยประสบการณ์อันโชกโชนในการค้าข้าว เขาจึงกลายเป็น DEAL MAKER ตัวยงคนหนึ่งในวงการธุรกิจ
(เรียบเรียงจาก "ผู้จัดการ" ฉบับกันยายน 2530)