Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2542








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2542
สถานการณ์ล่าสุดของตระกูลหวั่งหลี             
โดย วิรัตน์ แสงทองคำ
 

   
related stories

ธนาคารนครธน

   
search resources

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดนครธน
สุกิจ หวั่งหลี




วิกฤติการณ์สังคมไทยครั้งนี้ มิได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญเท่านั้น ยังรวมไปถึงแนวคิดในการอรรถาธิบายพัฒนากลุ่มธุรกิจใหญ่ๆ ของไทยที่นักวิชาการเรียกกันว่า "กลุ่มทุน" ด้วย

วิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดของ สังคมธุรกิจไทย ดูเหมือนทำให้กลุ่มตระกูลธุรกิจใหญ่ๆ พลิกโฉมหน้าจากเดิมไปอย่างฉับพลัน แต่ในความเป็นจริง ความเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

"วิถีชีวิตเปลี่ยนไปแล้ว เป็นเรื่องของแต่ละคน" บัณฑูร ล่ำซำ ผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะทายาทสำคัญของตระกูลล่ำซำในรุ่นนี้ เคยกล่าวกับผมเมื่อปีที่แล้วเมื่อถามถึงความเป็นไปของธุรกิจตระกูล

"คุณสุกิจ หวั่งหลี ก็คือผู้นำตระกูลยุคปัจจุบัน ในเวลาที่ทุกคนในตระกูลไม่พูดเรื่องธุรกิจ" หวั่งหลี รุ่นหลังเล่าให้ฟัง

ความเปลี่ยนแปลง มันเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยเหตุการณ์อย่างน้อย 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเดียวกัน และส่งผลกระทบต่อความเป็นไปของ กลุ่มธุรกิจตระกูลเก่าแก่

เหตุการณ์แรก การเติบโตของตลาดทุน มาพร้อมกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรงของธุรกิจต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ความจำเป็นในการเพิ่มทุน ขยายธุรกิจในกลุ่มเดิม เพื่อเข้าสู่เกมการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น บ่อยขึ้น ย่อมทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของตระกูลลดลงไป เพราะพวกเขายังคงใช้วิธีการเพิ่มทุนจากเงินปันผลมาตลอดอย่างไรก็อย่าง นั้น ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่สามารถรักษาสัด ส่วนถือหุ้นจำนวนมากไว้ได้แล้ว

โมเดลในการสร้างอาณาจักรโดยใช้ธนาคารเป็นแกน ตามแนวทางของตระกูลโสภณพนิชในแบงก์กรุงเทพ หรือตระกูลเตชะไพบูลย์แห่งธนาคารศรีนคร ได้สร้างปัญหาแก่ธนาคารเป็นระยะๆ จากปัญหาความไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการ ภายใต้สถานการณ์ที่ผันแปร และแข่งขันอย่างรุนแรงมากขึ้น ทำให้เครือข่ายธุรกิจธนาคารแทนที่จะสร้าง ความมั่งคั่งของตระกูล กลับเป็นภาระ มากขึ้น ขณะเดียวกันกฎเกณฑ์ใหม่ ของทางการในการควบคุมธนาคาร ทำให้มีความยากลำบากมากขึ้น ในการนำเงินจากธนาคารมาจุนเจือธุรกิจ ของครอบครัว

ในยุคของความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ โอกาสเกิดขึ้นมากมาย แต่ละคนมองโอกาสต่างกัน มีความสนใจต่างกัน และไม่มีเวลาหารือกัน พันธมิตรธุรกิจใหม่มีบทบาทมากขึ้น ขณะที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวในทางธุรกิจลดลง

เหตุการณ์ที่สอง ผู้นำตระกูล ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำธุรกิจของตระกูลด้วยได้เสียชีวิตในช่วงนั้น ไม่ว่ากรณี ตระกูลล่ำซำ (บัญชา ล่ำซำ เสียชีวิตในปี 2535) หรือตระกูลหวั่งหลี (สุวิทย์ หวั่งหลี เสียชีวิตในปี 2537) เมื่อผู้นำเหล่านี้เสียชีวิตไป ความคิด ทิศทาง การปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดค่อยๆ ห่างกันไป แต่ละคนก็มีครอบครัวที่ขยายขึ้น ความคิดเห็นต่างๆ ในรุ่นใหม่หลากหลายมากขึ้น

"เราไม่เคยปรึกษากันเลย ในเรื่องการขายหุ้นธนาคารนครธน" หวั่งหลีคนหนึ่งเล่าให้ฟังถึงความเป็นจริงของธุรกิจตระกูลที่เปลี่ยนแปลง

เรื่องการขายหุ้นธนาคารนครธนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น เมื่อทางการเข้ายึดธนาคารแห่งนี้ ด้วยการตีความ จากตรรกะง่ายๆ โดยไม่เข้าใจหลักการพื้นฐานทางธุรกิจของนักข่าวบางคน ย่อมให้เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา และกระทบต่อความรู้สึกของคนในตระกูลหวั่งหลีอย่างมาก

การสูญเสียธนาคารนครธนของตระกูลหวั่งหลี มีความหมายสำคัญอย่างมาก เป็นเหตุการณ์สุดท้าย ในความผูกพันของตระกูลและธุรกิจตระกูลที่มีสัญลักษณ์อยู่รวมกัน เพียงแต่ว่า ตระกูลหวั่งหลี เสียธนาคารไปด้วยการถูกทางการยึด เนื่องจากมีปัญหาอย่างหนัก ขณะเดียวกันที่ตระกูลล่ำซำเป็นผู้ถือหุ้นข้างน้อยไปแล้ว ในธนาคารกสิกรไทย ด้วยความจำเป็นในการเพิ่มทุนครั้งใหญ่ แต่คนตระกูลล่ำซำ ยังมีบทบาทบริหารอยู่เช่นเดิม

ธนาคารนครธน ก่อตั้งมาเมื่อ ปี 2476 ก็จริง แต่ในความเป็นจริงก็ มีเพียงใบอนุญาตธนาคารเท่านั้นที่มี ค่า ธนาคารเริ่มมีคุณค่าจริงทางธุรกิจ หลังจากนั้นกว่า 40 ปี เมื่อปี 2516 เป็น ต้นมา โดยหวั่งหลี 3 คน ภายใต้การนำของสุวิทย์ หวั่งหลี ( ที่เหลือคือ วรวีร์ และทำนุ) พวกเขาพัฒนาธนาคารยุคใหม่ด้วยการนำ CITI-BANK เข้ามาถือหุ้นและช่วยบริหาร โดยใช้เวลา 7 ปีในการเรียนรู้และรอคอยโอกาสทางธุรกิจ เมื่อธนาคารต่างชาติถอนไป กิจการนี้ก็เข้าตลาดหุ้น คนในตระกูลหวั่งหลี ซึ่งลงเงินกันไม่มากเลยในการพัฒนาธนาคารช่วงแรก ก็ได้รับผลตอบแทนกันอย่างมากมาย และทั่วถึง การรวมตัวของตัวแทนหวั่งหลี 3 คนในการฟื้นฟูธนาคารซึ่งแต่ละคนมาจากหวั่งหลีสายต่างๆ เป็นความ จงใจของ สุวิทย์ หวั่งหลี ที่จะทำให้ตระกูลมีความเป็นปึกแผ่นมากขึ้นในยุคของเขา ซึ่งถือเป็นความสำเร็จ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าตระกูลนี้ก็ค่อนข้างต่างคนต่างอยู่

คนตระกูลหวั่งหลี เริ่มเข้าใจว่าธนาคารเป็นมรดกของบรรพบุรุษ ที่มีค่ามากขึ้น แล้วก็ถูกสร้างด้วยผลประโยชน์ให้มีค่ามากขึ้น ด้วยผลตอบแทนจากการประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง

ธนาคารนครธนจึงกลายเป็นศูนย์รวมของตระกูลหวั่งหลีมากที่สุด ที่ถือหุ้นไม่ว่าที่เมืองไทยหรือฮ่องกง ทั้งๆ ที่พวกเขาต่างก็มีธุรกิจแตกต่างกันไป ตั้งแต่ธนาคารยังเป็นเพียงใบอนุญาตใบหนึ่งเท่านั้น

ความสูญเสียธนาคารนครธน ครั้งนี้ ย่อมทำให้คนตระกูลหวั่งหลี สะเทือนใจ บางคนในตระกูลเชื่อว่า คงไม่มีเหตุผลที่เกี่ยวกับเรื่องการสูญเสียความเป็นปึกแผ่นของตระกูล หากด้วยเหตุผลเพียง 2 ประการหนึ่ง-ในฐานะตระกูลเก่าแก่ มีเกียรติประวัติและศักดิ์ศรี ในสังคมธุรกิจ สอง-ผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างเสมอต้นเสมอปลาย กับธนาคาร ซึ่งพวกเขาได้รับผลตอบแทนในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาหายไป ในมุมมองที่ต่าง กันไป ส่วนใหญ่ที่ถือว่าเป็นนักลงทุนก็ยังรู้สึกดีกว่าบางคนที่ดำเนินธุรกิจ ด้วยความผูกพันกับธนาคารค่อนข้างมาก

คนที่เสียใจมากที่สุดคนหนึ่งก็หนีไม่พ้น วรวีร์ หวั่งหลี ในฐานะประธานกรรมการบริหารธนาคาร ซึ่งดูเหมือนเขาจะคิดว่า เขาต้องรับผิดชอบโดยตรง

อีกคนหนึ่ง สุจินต์ หวั่งหลี ประธานกลุ่มสาธรธานี เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ธุรกิจของเขาแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับธนาคารโดยตรงมากนัก แต่ความผูกพันทางอ้อมที่ว่าด้วย "เครดิต" และ "ความมั่นคง" ซึ่งจำเป็นอย่างมากในธุรกิจของเขาไม่ เพียงเวลานี้ หรือเวลาไหน

ดังนั้นเขาทั้งสองจึงกลายเป็นคนที่ใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ในการรักษาธนาคารแห่งนี้เอาไว้ตราบจนนาทีสุดท้าย

พวกตระกูลหวั่งหลี มีวิถีของตนเองที่แตกต่างกันออกไปมานานแล้ว

ส่วนใหญ่พวกเขามีที่ดิน กระจัดกระจายทั้งในเมืองและชานเมือง กลุ่มที่มิใช่พูลผล ก็ดำเนินธุรกิจอย่างเงียบๆ เกี่ยวกับที่ดินและการลงทุนในกิจการต่างๆ โดยที่ส่วนใหญ่พวกเขาไม่ได้เข้ามาบริหารโดยตรง ปัจจุบันพวกเขาก็ยังรักษาที่ดินอันเป็นมรดกเก่าแก่นี้ไว้ได้เป็นส่วนใหญ่ นอกจากความคิดดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาในเรื่องไม่ยอมขายที่ดินนั้นแล้ว ก็ยังมาจากสาเหตุว่าในยามยากลำบากจริงๆ ในช่วงที่ผ่านมา ที่ดินก็ไม่สามารถจะขายได้เช่นกัน

กลุ่มพูลผลเป็นกลุ่มที่สร้างขึ้นจากทองพูล ภรรยาม่ายของตันซิวเม้ง ซึ่งเสียชีวิต (เรื่องราวนี้ผมเคยเขียนมาหลายครั้ง แต่ข้อมูลครั้งแรกมาจาก "ผู้จัดการ" ฉบับเดือนธันวาคม 2529) มีธุรกิจที่ลงหลักปักฐานแล้ว ได้แก่ กิจการอุตสาหกรรมเกษตร เช่นน้ำมันพืช แป้งมันสำปะหลัง วุ้นเส้น เป็นต้น ธุรกิจเหล่านี้ก็พอจะดำเนินไปได้ในยามเศรษฐกิจ เช่นนี้ ธุรกิจเหล่านี้สร้างขึ้นมาก่อนหน้าการฟื้นฟูธนาคารนครธนด้วยซ้ำ การมีหรือไม่มีธนาคารนครธน ก็ไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตของธุรกิจเหล่านี้

กลุ่มพูลผลได้รับผลกระทบโดยตรง ก็คือการปิดกิจการอย่างถาวรของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์พูลพิพัฒน์ เมื่อปลายปี 2540 แม้ว่าไม่ได้สูญเสียเงินมากมายนัก แต่ก็นำมาซึ่งการสูญเสียความมั่นใจไประดับหนึ่ง ดังนั้นเมื่อกิจการพูลผลมีปัญหาทางการเงิน พวกเขาก็พร้อมจะขายหุ้นธนาคารนครธนบางส่วนในนามบริษัทออกไปได้เช่นกัน ซึ่งไม่เพียงหุ้นธนาคารนครธนเท่านั้น หุ้นในกิจการอื่นๆ พวกเขาก็ขายไปด้วย แม้แต่หุ้นธนาคารกสิกรไทย และความจริงอีกข้อหนึ่ง ก็คือคนในตระกูลบางคนไม่มีความเชื่อมั่นต่อการฟื้นฟู และแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ดังนั้นการขายหุ้นที่พวกเขาถือกันมานานในธนาคารเก่าแก่ของเขา ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีใครห้ามได้ ซึ่งมันคนละเรื่องกับการ ขายหุ้นด้วยข้อมูลภายใน (ปกติมีหลักฐานบางอย่างจากการสอบสวน บ่งชี้ถึงการขายหุ้นที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายระดับใดระดับหนึ่ง แล้วจึงเป็นข่าว มิใช่การทึกทัก มีข่าวออกไปก่อนว่ามีการขายหุ้นแล้ว สงสัยอาจจะเป็นการใช้ข้อมูลภายใน จึงเริ่มต้นกระบวนการสอบสวน ซึ่งเป็นตรรกะที่ไม่เอาไหน ของวงการข่าวสารของไทยเสมอมา)

โมเดลการสร้างอาณาจักรธุร กิจ ยึดถือธนาคารเป็นแกนกลางในการขยายธุรกิจออกไป เช่น โสภณ- พ นิช และเตชะไพบูลย์ ไม่ได้เกิดกับ หวั่งหลี เพราะธนาคารแห่งนี้ดำเนินกิจการธนาคารอย่างมืออาชีพ และเติบโตอย่างช้าๆ เสมอมา โมเดลที่ว่านั้น เกิดขึ้นในช่วงปี 2500-2520 โดยตระกูลธุรกิจเหล่านั้น ขยายฐานจากธนาคารสู่ธุรกิจอื่นๆ ด้วยการสนับสนุนทางการเงิน ทั้งเงินกู้ และถือหุ้นในกิจการที่พวกเขาเป็นเจ้าของ การขยายตัวทางธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งมีการแข่งขันน้อย จึงได้รับผลตอบแทนคืนมาอย่างดีทีเดียว ทั้งสองส่วน ส่วนของตระกูลเองซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นทั้งของกิจการธนาคารและ เครือข่าย สุดท้ายผลสะท้อนกลับมาสู่ธนาคารด้วยการขยายตัวของสินทรัพย์ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

ช่วงเวลานั้นธนาคารนครธน เพิ่งเริ่มตื่นและอยู่ภายใต้การบริหารของ CITIBANK

ธนาคารนครธน จึงกลายเป็นธนาคารขนาดเล็ก เมื่อเข้ามีส่วนร่วมSyndicate Loans ในกิจการใหญ่ไม่กี่แห่งในช่วงหลังๆ ก็ทำให้สัดส่วนหนี้สิน มีน้ำหนักอย่างมาก ยิ่งการจัดการโครงสร้างก็จะเริ่มจากเจ้าหนี้สัดส่วนมาก ธนาคารนครธนจึงกลาย เป็นเจ้าหนี้ที่ได้รับความสนใจน้อยลง กลายเป็นจุดอ่อนเปราะของธนาคารเล็ก ในขณะลูกหนี้มีขนาดใหญ่ขึ้น

"หากเราไม่เก่ง เราก็ไม่ต้องบริหาร การทำธนาคารยุคใหม่ยากมากปล่อยให้มืออาชีพคนเก่งๆ เขาดูจะดีกว่า เราอยู่เฉยๆ ในฐานะนักลงทุนดีกว่า" นี่คือความเห็นล่าสุดของตระกูลธุรกิจ ซึ่งล่ำซำอาวุโสคนหนึ่งกล่าวไว้ในวงใน อันเป็นความเข้าใจที่มองการณ์ไปข้างหน้า ก่อนวิกฤติ การณ์นี้บ้างแล้ว สำหรับบางคนในตระกูลธุรกิจ คนในตระกูลหวั่งหลี ยอมรับว่าการบริหารธนาคารนครธน ที่มีวรวีร์ เป็นประธานกรรมการบริหาร และทำนุ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ไม่ใช่โครงสร้างบริหารองค์กรที่ดี เช่น ในช่วงสุวิทย์ยังเป็นหัวหน้าทีม ซึ่งสามารถประสานความสามารถที่แตกต่างเป็นพลังงานการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งวรวีร์ และทำนุ มีประสบการณ์ต่างกันและที่สำคัญมีความคิดเห็นไม่ค่อยจะลงรอยกันเสมอๆ แม้คนในตระกูลจะไม่ได้ประเมินว่า นี่คือสาเหตุของความล่มสลายของธนาคารเอกชนเแห่งนี้ แต่ก็คงมีส่วนไม่มากก็น้อย

สาธรธานี กลุ่มธุรกิจที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับตระกูลหวั่งหลี แม้ว่า ปัจจุบันจะมีหนี้สินมากมาย และไม่อาจจะถือว่าเป็นธุรกิจของตระกูลโดยตรง แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าจุดเริ่มต้นมาจากธนาคาร นครธนและหวั่งหลี

สุจินต์ หวั่งหลี เป็นเจ้าของไอเดียเริ่มแรกในการสร้างอาคารสูงเป็นที่รวมของกิจการตระกูลหวั่งหลี โดยที่ตั้งของโครงการสาธรธานี เดิมเป็นบ้านของสุวิทย์ สุกิจ ศุภชัย พี่น้องหวั่งหลีรุ่นโต รวมเนื้อที่ 6 ไร่เศษ ที่ดินตรงนี้ในขณะนั้นราคาตารางวาละเกือบแสนบาท คิดเป็นเงินลงทุน บริษัทสาธรธานีก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2525 ด้วยทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาท ตระกูลหวั่งหลีถือหุ้นมากที่สุดซึ่งไม่ต้องลงเงิน ที่เหลือเป็นธนาคารกสิกรไทย ธนาคารนครธน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ และกลุ่มไมเนอร์กรุ๊ป ซึ่งถือเป็นโครงสร้าง ผู้ถือหุ้นแบบใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น

โครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้จึงประสบความสำเร็จตั้งแต่อยู่ในพิมพ์เขียวเลยทีเดียว

อีกเกือบ 10 ปีถัดมา สาธร ธานี จึงโลดแล่นด้วยวิธีการดำเนินงานแบบใหม่ ภายใต้การเติบโตและโอกาสจากตลาดทุน ด้วยการเข้าตลาดหุ้นทางลัด การสร้างพันธมิตรใหม่ที่กว้างออกไป โดยเฉพาะกลุ่มที่โลดโผนในตลาดทุนไทย ไม่ว่าจะเป็น เอกธนกิจ ยูนิเวสต์ ฯลฯ ด้วยการลงทุนขนาดใหญ่ การเพิ่มทุนหลายครั้ง สัดส่วนของตระกูลหวั่งหลี จึงลดลงไปด้วย

สาธรธานีจึงกลายเป็นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่รายหนึ่งของเมืองไทย แต่ความใหญ่กับการเติบโตอย่างเร่งรีบในช่วง 5 ปีมานี้ ทำให้แรงต้านทานวิกฤติการณ์ไม่เข้มแข็งนัก

วันนี้สาธรธานีกำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการฟื้นฟูกิจการ แต่ภาระดังกล่าวนั้นมิได้เป็นของตระกูลหวั่งหลี หากเป็นของสุจินต์ หวั่งหลี เพียงคนเดียวในฐานะผู้บริหารสูงสุด

ขณะเดียวกัน วิกฤติการณ์สาธรธานี ก็ถือว่าไม่ใช่แรงเสริมซ้ำเติมวิกฤติการณ์ตระกูลหวั่งหลีให้มากขึ้นเท่าใดนัก เพราะสาธรธานีวันนี้เป็นกิจการที่มีผู้ถือหุ้นมากมาย มีพันธมิตรธุรกิจมากมาย มีบุคลิกเฉพาะที่แตกต่างกันไป แม้ว่าจะเป็นกิจการที่เริ่มต้นจากตระกูลหวั่งหลีก็ตาม

โมเดลสาธรธานี กำลังจะกลายเป็นโมเดลใหม่ของการพัฒนาธุรกิจไปอีกขั้น จากธุรกิจครอบครัว

จากนี้ไป ธุรกิจตระกูลหวั่งหลี อย่างเข้มข้นไม่มีแล้ว มีแต่ธุรกิจของผู้ประกอบการนามสกุลหวั่งหลีแยกย้ายไปทำตามเป้าหมายของแต่ละคน ตามความสามารถของแต่ละคน แต่ ละกลุ่ม อย่างอิสระ เรื่องราวของธุรกิจตระกูลหวั่งหลีในวันนี้ ก็คล้ายๆ กับตระกูลธุรกิจเก่าแก่โดยทั่วไป และนี่คือพัฒนาการล่าสุดของ "กลุ่มทุน" ไทย หลังวิกฤติการณ์สังคมไทยครั้งใหญ่ครั้งนี้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us