บริษัทเงินทุน ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เซ็นสัญญาเข้าร่วมโครงการเพิ่มเงินกองทุนขั้นที่
1 กับกระทรวงการคลัง โดยออกหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพซึ่งผู้ถือหุ้นจะมีสิทธิได้รับเงินปันผลจำนวน
1 บาทต่อหุ้น (หรือร้อยละ 10 ของมูลค่าที่ตราไว้) ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ และมีสิทธิได้รับเงินปันผลร่วมกับผู้ถือหุ้นสามัญ
หุ้นบุริมสิทธินี้ได้จดทะเบียนเพื่อเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว
และบริษัทก็ได้รับเงินชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวจากนักลงทุนประเภทรายย่อย
และสถาบันการเงินทั้งใน และต่างประเทศครบทั้งจำนวน 3,000 ล้านบาท ส่วนกระทรวงการคลังได้ออกใบสำคัญแสดง
สิทธิอนุพันธ์ในการให้ผู้ร่วมลงทุนสมทบซื้อหุ้นจากกระทรวง การคลังในระยะเวลา
3 ปีในราคาต้นทุน โดยมีราคาการใช้สิทธิ 11.20 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้กระทรวงฯ
ยังได้ออกพันธบัตรมูลค่า 3,000 ล้านบาทเพื่อแลกกับหุ้นบุริมสิทธิจำนวน 300
ล้านหุ้นด้วย
นักลงทุนที่ซื้อหุ้นบุริมสิทธิของทิสโก้ไปนั้นมีกลุ่มที่น่าสนใจคือ Southeast
Asia Investment Holding หรือ SAI จำนวน 110 ล้านหุ้น SAI เป็นบริษัทโฮลดิ้งเพื่อการลงทุน
ที่ริเริ่มก่อตั้งโดยรัฐบาลไต้หวัน ธนาคารโลกและ China Development Industrial
Bank หรือ CDIB (เดิมชื่อ China Development Corp. หรือ CDC) ซึ่งเป็นธนาคารเพื่อการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมรายสำคัญในไต้หวัน
มีธุรกิจด้านการลงทุนโดยตรง วาณิช-ธนกิจ กิจการธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งยังทำเทรดดิ้งและโปรเจกต์ไฟแนนซ์ด้วย
CDIB ถือเป็นธนาคารที่มีฐานเงินทุนแข็งแกร่งที่สุดในไต้หวัน โดยมีมูลค่าตามราคาตลาดประมาณ
8,000 ล้านเหรียญและมีส่วนของทุน 2,100 ล้านเหรียญ
SAI มีจุดมุ่งหมายคือการลงทุนในกลุ่มประเทศ
อาเซียน SAI ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านเหรียญ แต่เรียกชำระไว้เพียง
300 ล้านเหรียญ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา CDIB และ SAI มีการลงทุนในไทยมากกว่า
120 ล้านเหรียญ เช่น การซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบงล.กรุงเทพธนาทรหรือ BFIT, บริษัท
ทุนเท็กซ์ (ประเทศไทย) มีส่วนร่วมกับกลุ่ม จีอี-โกลด์แมนในการประมูลสินเชื่อจากปรส.
รวมทั้งยังมีส่วนร่วมในโครงการเพิ่มทุนของ BBL และ TFB ด้วย นักลงทุนรายถัดมาคือ
Olympus Capital Holdings Asia Ltd., เป็นบริษัทที่ดำเนินการลงทุนโดยตรงในเอเชีย
Olympus บริหารเงินทุนระยะยาวจำนวน 275 ล้านเหรียญ Olympus แสวงหาโอกาสที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาและสร้างความเจริญเติบโตให้แก่กิจการในเอเชีย
โดยมีการนำเอาระบบการบริหารที่ดีและแฟรนไชส์ที่มีลักษณะโดดเด่นเข้ามาร่วมบริหาร
ผู้ก่อตั้งและมีส่วนร่วมในเงินกองทุนนี้คือ Ziff Brothers Investments หรือ
ZBI ส่วนผู้สนับสนุนกองทุน Olympus คือหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า
Oversea Private Investment Corporation หรือ OPIC
สำหรับการลงทุนในประเทศไทยที่ผ่านมานั้น Olympus ใส่เม็ดเงินลงมาแล้วประมาณ
60 ล้านเหรียญ ซึ่งลงไปในโครงการต่างๆ ได้แก่ Asia Pacific Resources Ltd.,
ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับสัมปทานการทำเหมืองโปแตชในอุดรธานี นอกจากนี้ก็ลงทุนใน
Thai Capital LLC, ซึ่งเป็นบริษัทที่เข้าไปซื้อสินเชื่อ (loans)จาก FRA
นักลงทุนถัดมาคือ กลุ่ม ฟินันซ่า (ประเทศไทย) เป็น กิจการที่ทำการลงทุนโดยตรงและทำด้านวาณิชธนกิจด้วย
โดยได้ใบอนุญาตการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินจากก.ล.ต. นอกจากมีออฟฟิศในกรุงเทพฯ
แล้ว บริษัทยังมีสำนักงานในฮานอย และโฮจิมินห์ซิตี้ด้วย บริษัทบริหารกองทุนที่ทำ
การลงทุนโดยตรง 2 กองทุน มูลค่ารวม 75 ล้านเหรียญ และเพิ่งเปิดตัวระดมเม็ดเงินเพื่อจัดตั้งกองทุนใหม่อีก
1 กองมูลค่าเงินลงทุน 100 ล้านเหรียญลงทุนในไทยประเทศเดียว ฟินันซ่าเป็นที่ปรึกษาการลงทุนในไทยของ
Olympus ด้วย นอกจากลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนในทิสโก้แล้ว ฟินันซ่าก็มีการลงทุนทำนองเดียวกันอีกในกลุ่มเนชั่น
บริษัทซีเอ็ดฯ และ Asia Pacific Resources
กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของฟินันซ่าคือทีมบริหารที่ถือไว้ 70% ที่เหลืออีก
30% เป็นธนาคารเอบีเอ็นแอมโร อาจกล่าวได้ว่า หากมีการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่กระทรวงการคลังออกให้นักลงทุนแล้ว
ทั้ง 3 กลุ่มนี้ ซึ่งถือเป็นพันธมิตรกัน ก็จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในทิสโก้ทันที
ในสัดส่วนประมาณ 40%-50% ทีเดียว