เมื่อครั้งประมูลภาพของปรส. เมื่อปีที่ผ่านมาวรวิทย์ โภคิน ชาวจีนวัย 52
ปีคนนี้ชนะการประมูลภาพ "ใบไผ่" ของทวี นันทขว้าง ไปด้วยราคา 2,877,000
บาทเป็นราคาประมูลภาพที่สูงที่สุดในงาน สร้างความหงุดหงิดใจให้กับบุญชู ตรีทอง
คู่แข่งคนสำคัญในวันนั้นพอสมควร
มาคราวนี้คนเดียวกันนี้ ก็สร้างประวัติศาสตร์ซ้ำสอง คือประมูลภาพของอาจารย์ทวี
ในราคาที่สูงที่สุดอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้นเขายังชนะการประมูลงานของเหม
เวชกร ในราคา 51,750 ไปอีกภาพหนึ่งด้วย
ในงานประมูลหนังสือวันแรกวรวิทย์ยังชนะการประมูลหนังสือมาอีก 3 รายการจากคู่แข่งชาวต่างชาติทั้งสิ้นเป็นเงินประมาณ
7 แสนบาทด้วย รวมเป็นเงินทั้งหมด 2 วันที่เขาใช้ไปเพื่อความสุขครั้งนี้ประมาณ
4,000,000 บาท
วรวิทย์ โภคิน เป็นใครมาจากไหน เป็นคำถามที่เป็นคำพูด และเป็นคำถามจากสายตาของบรรดาผู้คนในวันประมูล
ที่มองตรงไปยังชาวจีนวัยกลางคนที่แต่งตัวธรรมดาๆ ในชุดกางเกงกลางเก่ากลางใหม่และเสื้อยืดลายขวางสีฟ้าๆ
เขียวๆ ตัวเดียวกับวันที่ใส่ไปประมูลรูปของปรส. มันช่างแตกต่างไปจากคนอื่นๆ
ที่แม้จะเป็นชุดลำลองแต่ก็แบกแบรนด์เนมไปทั่วตัว บางคนใส่เสื้อนอกสวมสูทราคาแพงด้วยซ้ำไป
และต่างจับกลุ่มยืนคุยกันในเรื่องงานศิลป หรืองานธุรกิจที่ใหญ่โต
ในขณะที่ผู้ที่กำลังเป็นที่สนใจ ไม่ยอมพูดคุยอะไรกับใครทั้งสิ้นเพราะไม่มีคนที่รู้จัก
และไม่ใช่แวดวงที่คุ้นเคย หลังจากประมูลเสร็จและติดต่อวันรับรูปและหนังสือกับเจ้าหน้าที่
ของบริษัทคริสตี้ส์เสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินดุ่มๆ ไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านไปทันที
โชคดีที่ "ผู้จัดการ" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์เขาในวันรุ่งขึ้น
"ผมเกลียดที่สุดคือการพูดถึงตัวเอง ผมเป็นเพียงคนเชยๆ คนหนึ่ง" วรวิทย์เอ่ยกับ
"ผู้จัดการ" และเล่าอย่างรู้ตัวดีว่าในวันงานมีหลายคนมองเขาอย่างไม่เชื่อว่า
จะมาประมูลรูปได้ บางคนอาจจะมองว่าเขาเป็นเพียง "หน้าม้า" ให้บางคนเท่านั้น
"ที่นี่ผมไม่เคยเข้ามา ทุกคนแต่งตัวกันโก้ๆ พกลูกระเบิดกันเต็มไปหมด (วรวิทย์หมายถึงโทรศัพท์มือถือ)
มีผมคนเดียวไม่มี แล้วก็หิวด้วยนะวันนั้นรถเมล์ติดอยู่นานจนจะลงเดินมาอยู่แล้ว
จะหาที่กินข้าวแถวนี้ก็ไม่รู้มีที่ไหน"
วรวิทย์ยอมเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังต่อว่าตนเองมีอาชีพทางด้านค้าขายและการประมูลสินค้า
โดยเฉพาะสินค้าทางด้านวิศวกรรมเมื่อตอนอายุประมาณ 30 ต้นๆ เคยสร้างผลงานที่ตนเองภูมิใจคือไปประมูลราคาแข่งกับเอกชน
ในงานประมูลสินค้าซึ่งเป็นเหล็กที่เหลือจากการสร้างเตาของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย
ซึ่งขณะนั้นปูนซิเมนต์ไทยเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่บริษัทหนึ่งในภาคพื้นเอเชีย
"งานนั้นมีผู้แข่งขันกว่า 1,000 ราย ผมเป็นคนเดียว ที่ชนะเป็นที่ 1 เสร็จแล้วผมก็นำไปขายต่อได้กำไรก้อนใหญ่"
วรวิทย์เล่าอย่างภูมิใจ แต่ไม่ยอมเปิดเผยถึงเม็ดเงินที่ประมูล และกำไรที่ได้มาพร้อมกับรายละเอียดในการทำงานอื่นๆ
ส่วนงานทางด้านศิลปะเขาเล่าต่อว่า เริ่มสะสมมานานกว่า 20 ปี แต่จะมีภาพของศิลปินไทยประมาณ
10 ภาพเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นศิลปินชาวจีน ที่ซื้อต่อมาจากบรรดารุ่นลูก รุ่นหลาน
ของคนจีนเหล่านั้นที่ไม่เห็นในคุณค่าของภาพ
สาเหตุที่ชอบภาพเขียนของจีนวรวิทย์บอกว่าชอบในลีลาสะบัดปลายพู่กัน ที่มั่นคงและเด็ดขาด
แต่ราคาภาพที่สะสมจะไม่แพงมากนักประมาณหลักหมื่นต่อภาพเท่านั้น แม้จะยืนยันกับ
"ผู้จัดการ" ว่าไม่เคยขายภาพและ ไม่ต้องการขายภาพที่มีอยู่ แต่เขาก็มีข้อมูลว่าภาพศิลปินชาวจีนปล่อยขายยากในเมืองไทย
ต้องไปตลาดประมูลที่ฮ่อง กงหรือสิงคโปร์เท่านั้นจึงจะได้ราคาที่ดี
ส่วนศิลปินไทยนั้นวรวิทย์ได้มาชื่นชอบผลงานของอาจารย์ทวีเป็นพิเศษ เมื่อเห็นผลงานภาพ
"ดอกฝิ่น" ตอนงานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ศิลปะแห่งรัชกาลที่ 9 ที่จัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
เมื่อปี 2539
และนั่นคือที่มาของการตามมาเก็บประมูลภาพของอาจารย์ทวีทั้ง 2 ภาพในงานของปรส.
และในงานประมูลของบริษัทคริสตี้ส์ และทำไมต้องเป็นภาพเปลือยนี้ แทนที่จะเป็นผลงานภาพ
สระบัว หรือกล้วยไม้ ซึ่งเป็นของอาจาย์ทวีทั้งสองรูปวรวิทย์ให้เหตุผลว่า
"ถ้าเป็นต้นไม้ผมคิดว่าภาพใบไผ่ที่ได้ไปเป็นภาพที่ดีที่สุดแล้ว ส่วนภาพเปลือยนอกจากจะเป็นรูปที่หายากของอาจารย์ทวีแล้ว
ยังเป็นภาพวีนัสที่วาดโดยชาวไทยที่จัดวางท่าไม่เหมือนกับวีนัสของคนอื่นๆ
ที่วาดกันเป็นร้อยๆ ปี และผมชอบจุดเด่นของรูปที่มีดอกบัวหลวงข้างทรวงอก เมื่อมีลมพัดมาจากทางทิศใต้ทำให้กลีบหนึ่งปลิวตกลงมา
ทำให้ดูราวกับว่าเธอขยับตัวจะตื่นขึ้น"
นอกจากผลงานของอาจารย์ทวีแล้ว ดูเหมือน วรวิทย์จะชื่นชมผลงานของสุเชาว์
ศิลปินคนยาก และเหม เวชกรด้วย
สำหรับหนังสือที่เขาประมูลได้มาเล่มแรกเป็นหนังสือเก่าประมาณ 200 กว่าปีพิมพ์เรื่องสมัยพระเพทราชาประมูลได้ไปที่ราคา
460,000 บาท หนังสือเล่มที่ 2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสมัยพระนารายณ์มหาราชครองราชย์
มีรูปพระนารายณ์ขี่ช้างเข้าวังด้วย ราคาที่ประมูลได้ 195,500 บาท ซึ่งรายการนี้เขาเล่าว่าสู้กันดุเดือดจากราคาเริ่มต้นที่
95,000 บาท แต่จบอย่างรวดเร็วและอีกชิ้นคือ หนังสือBANGKOK CALENDAR ราคาประเมิน
7,500 บาท สู้กันเข้มข้นเช่นกันและไปปิดที่ราคา 40,000 บาท
"หนังสือเล่มแรกเป็นเรื่องราวสมัยพระเพทราชานั้น คนเขียนบันทึกเหตุการณ์ที่น่าสนใจหลายเรื่อง
ซึ่งในหนังสือไทยไม่มี หาอ่านไม่ได้ ส่วนเล่มที่ 2 เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยพระนารายณ์
ส่วนเล่มสุดท้าย เป็นเพราะผมอยากรู้ว่า วันเดือนปี สมัยนั้นเขาคิดกันอย่างไร"
วรวิทย์อธิบายให้ฟังถึงเหตุผลในการประมูลหนังสือ "ชีวิตผมผ่านความลำบากมาเยอะ
ทำงานหนักมาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว มาถึงวันนี้ได้ก็เหนื่อยที่สุด เมื่อมีเงินเหลือก็อยากจะได้อะไรที่เป็นรางวัลให้กับชีวิตบ้างก็แค่นั้น"
เขาสรุป และยืนยันว่าไม่ได้เป็นหน้าม้าประมูลรูปให้ใคร หรือเป็นคนของใครทั้งสิ้น