นิเวศ ได้เข้ามาร่วมธุรกิจกับซิดดี้ทอยส์ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลหลัก
2 ประการคือ ธุรกิจส่งออกเป็นธุรกิจที่นำเงินตราเข้าประเทศ และช่วยสร้างงานภายในประเทศ
นอกจากนั้นเขายังมองเห็นศักยภาพในการเติบโตของอุตสาหกรรมส่งออกด้วย โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติทางเศรษฐกิจ
การนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปจะลดลงมาก ดังนั้นสินค้าที่คนไทยสามารถผลิตได้เองจะสามารถทดแทนสินค้านำเข้าเหล่านั้นได้
จากอาชีพทนายความ นิเวศมีโอกาสได้สัมผัสกับคนในหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้เขาซึมซับเอาปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในแต่ละอุตสาหกรรม แม้แต่อุตสาหกรรมส่งออก ซึ่งเขาอยู่ใกล้ชิดมากก็ยังประสบกับอุปสรรคมากมาย
อันทำให้ไม่สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งปัญหาในภาพรวมเหล่านี้ผู้ประกอบการไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง
รัฐบาลจะต้องเข้ามาร่วมแก้ไขอย่างจริงจัง
นิเวศในฐานะตัวแทนผู้ส่งออกไทยอยากให้ภาครัฐแก้ปัญหาต่อไปนี้อย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม
1. เรื่องการประชาสัมพันธ์สินค้าไทยในต่างประเทศ ต้องมีการปฏิบัติอย่างจริงจัง
รวดเร็ว และทั่วถึง มิใช่เพียงแต่มีการพูดกันในระดับนโยบายเท่านั้น
2. เรื่องโครงสร้างภาษีการนำเข้าวัตถุดิบ ควรจะปรับลดลงให้ถูกกว่านี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ผลิต
3. เรื่องเงินทุน หน่วยงานของรัฐ อย่างเช่น เอ็กซิมแบงก์ มีเงินมากจริง
แต่ผู้ส่งออกไม่สามารถกู้ได้ เนื่องจากยังคงต้องผ่านกระบวนการของธนาคารพาณิชย์
ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกู้เงินในวันนี้
"สมมติ ถ้าเรามี LC เข้ามาเราไปแพค แบงก์จะบอกเลยว่า คุณต้องเอาเงินสดมาวางเป็นหลักประกันในอัตราไม่น้อยกว่า
110% คือ เราต้องมีเงินสดๆ ไปค้ำ มีโฉนดที่ดินยังไม่รับเลยเดี๋ยวนี้ ซึ่งถ้าเรามีเงินไปวางค้ำประกันขนาดนั้นแล้วเราจะไปกู้เขาทำไมกัน"
เป็นความรู้สึกอัดอั้นของคนทำธุรกิจในยุคนี้
อย่างไรก็ดี นิเวศคิดว่า เริ่มมีสัญญาณที่ดีต่ออุตสาหกรรมบ้างแล้วคือ การที่รัฐบาลออกกฎหมายเอสเอ็มอีมา
และพยายามจะตั้งกองทุนธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งเขาคิดว่าอาจจะช่วยได้ระดับหนึ่ง
"บริษัทเล็กๆ กลางๆ เหล่านี้เป็นหัวใจที่ทำให้เศรษฐกิจโต เพราะบริษัทใหญ่พอมีปัญหาตูมหนึ่งก็ไปทั้งระบบ
บริษัทเล็กๆยังพอมีที่จะอยู่ได้ และที่สำคัญคือ สามารถสร้างงานได้ทุกระดับ"
เป็นความเห็นของผู้อยู่เบื้องหลังในการสานต่ออนาคตของซิดดี้ทอยส์ จนกระทั่งให้กำเนิดเป็น
"เท็ดดี้เฮาส์" ในปัจจุบัน