ประสบการณ์ล่าสุดของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่อันดับสองของไทย
และเป็นธนาคารเอกชนแห่งหนึ่งที่มีระบบบริหารที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่สถาบันการเงินย่านเอเชียกำลังเผชิญในขณะที่กำลังฟื้นฟูกิจการ
ธนาคารกสิกรไทยเริ่มต้นดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดตั้งแต่เมื่อปี 1998 แต่วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจหนักหน่วงจนทำให้การพยายามปรับโครงสร้างทุนในครั้งแรกไม่บรรลุผล และกดดันให้ต้องดำเนินความพยายามอีกเป็นคำรบที่สอง
การดำเนินการตามกลยุทธ์ที่กำหนดขึ้นอย่างดีตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ ช่วยให้ธนาคารกสิกรไทยระดมทุนเพิ่มได้
884 ล้านดอลลาร์ จากตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว โดยการขายหุ้นในราคาหุ้นละ
88 บาท ทำให้ตระกูลล่ำซำซึ่งถือหุ้นส่วนใหญ่ของธนาคารถือครองหุ้นลดลงเหลือน้อยกว่า
10% ขณะที่นักลงทุนประเภทสถาบันจากต่างชาติถือหุ้น 49% ธนาคารเร่งหาทางแก้ไขปัญหาเงินทุนหมุนเวียนด้วยการประกาศงดรับพนักงานใหม่
พร้อมๆ กับพิจารณาลดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นลง ธนาคารตัดสินใจแก้ไขปัญหาหนี้เสียโดยตั้งทีมผู้เชี่ยวชาญพิเศษถึง
8 ทีม โดยมีผู้ร่วมงานทั้งหมด 150 คน เพื่อจัดการเฉพาะในเรื่องการเร่งรัดหนี้สิน
ด้วยวิธีการนี้ ธนาคารสามารถปรับปรุงระบบจัดการหนี้เสียเหล่านั้น และแยกแยะว่าการให้บริการนี้แตกต่างจากการให้สินเชื่อ
และมักต้องอาศัยกลไกอิสระที่ไม่ยึดติดอยู่กับความสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อบังคับการชำระหนี้
ในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ธนาคารประกาศเข้าซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัทภัทรธนกิจเป็น
51% จากเดิม 49% ในขณะนั้นภัทรธนกิจกำลังประสบปัญหาด้านการเงิน เนื่องจากผู้ฝากเงินแห่กันมาถอนเงินด้วยเกรงถึงความมั่นคงของสินทรัพย์ของตนเอง
ในช่วงนั้นราคาหุ้นของธนาคารกสิกรไทยลดลงเหลือหุ้นละ 40 บาท ธนาคารพาณิชย์อีก
7 แห่ง ก็ประกาศผลประกอบการในเดือนกรกฎาคม ปี 1998 ว่าลดลงเนื่องมาจากสัดส่วนหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้น
ราคาหุ้นของธนาคารกสิกรไทยจึงขยับลดลงเหลือเพียงหุ้นละ 35 บาท ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม
ธนาคารกสิกรไทยยังคาดการณ์อีกว่า เงินกู้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของกิจการจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น
38% ของยอดการปล่อยสินเชื่อทั้งหมดในช่วงกลางปีนี้โดย 50% ของเงินกู้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นี้จะถูกตัดเป็นบัญชีหนี้เสีย
ข่าวนี้ทำให้ราคาหุ้นของธนาคารลดลงฮวบฮาบเหลือเพียงหุ้นละ 20 บาท
เมื่อเป็นเช่นนี้ เงินทุน 834 ล้านดอลลาร์ ที่ระดมมาจากตลาดหุ้นทั่วโลกจึงไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาเงินกู้
แต่ธนาคารก็ประสบความสำเร็จเมื่อตัดสินใจเพิ่มฐานเงินทุนด้วยกลยุทธ์การระดมทุนมูลค่า
40,000 ล้านบาท (3,100 ล้านดอลลาร์) ด้วยการออกหุ้นบุริมสิทธิและหุ้นกู้
เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
โดยสรุป จะเห็นได้ว่าธนาคารกสิกรไทยดำเนินการอย่างทันท่วงทีจนสามารถรั้งตำแหน่งผู้ชนะท่ามกลางวิกฤตการณ์การเงินร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่ง
ความพยายามของธนาคารกสิกรไทยสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมองอุปสรรคท้าทายต่างๆ
ด้วยความฉับไว ซึ่งรวมถึงการบริหารหนี้เสีย ระดมทุน ปรับโครงสร้างค่าใช้จ่ายและเพิ่มพูนทักษะใหม่ๆ
ความสำเร็จจึงขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อก้าวพ้นอุปสรรค
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตาม มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวและภาคธุรกิจมีการปรับโครงสร้าง