Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2542








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2542
อวสาน "โดมิโนพิซซ่า" ไทย             
 


   
search resources

มอนเทอเรย์กรุ๊ป
Food and Beverage




ชื่อของ โดมิโนพิซซ่า ดังกระฉ่อนในสหรัฐฯ และเริ่มมาเป็นที่รู้จักของคนไทยในฐานะที่เป็นพิซซ่าถาดที่ 2 ในปี 2537 เป็นรองจากพิซซ่าฮัท ที่เข้ามาบุกเบิกตลาดตั้งแต่ปี 2527 เส้นทางเดินของโดมิโนดูเติบโตราบรื่นดี โดยเฉพาะกลยุทธ์การขายแบบจัดส่งถึงที่หรือ delivery service ซึ่งฟาสต์ฟู้ดหลายรายต่างต้องเดินแนวทางนี้ แต่แล้วเส้นทางเดินที่ดูสดใสของ กลุ่มมอนเทอเรย์ ที่เคยโด่งดังในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้วหันมาเอาดีทางขายส่งพิซซ่ากลับล้มครืนไม่เป็นท่า นักลงทุนผู้ปล่อย เม็ดเงินกู้ยังมองว่าธุรกิจน่าจะยังไปได้ แต่วิธีบริหารจัดการแบบเดิม มีแต่พาให้ล่มจม!!เรื่องโดย ฐิติเมธ โภคชัย

e-mail thitimeth@manager.co.th 6 ปี คือเส้นทางสู่ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงที่ประสบโดยนักธุรกิจรุ่นใหม่ ไฟแรงที่ต้องการหาความสำเร็จใส่ตัวด้วย การซื้อแฟรนไชส์ดังๆ มาดำเนินธุรกิจ มอนเทอเรย์ พิซซ่า บริษัทในเครือมอนเทอเรย์กรุ๊ป ที่มีธุรกิจหลักด้าน อสังหา-ริมทรัพย์ แต่ได้ฝันถึงอนาคตอันสดใสของธุรกิจฟาสต์ฟู้ดตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์ หรือสิทธิทางการตลาด "โดมิโนพิซซ่า" จากกลุ่มโดมิโนพิซซ่าที่ไต้หวันซึ่งเป็นผู้ครองสิทธิทางการตลาดในเอเชีย เพื่อเอา "โดมิโนพิซซ่า" เชนฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ มาทำตลาดในไทย

ความหายนะที่เกิดขึ้น เป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อสำหรับบุคคลภายนอกที่มองเห็นความแข็งแกร่งของแบรนด์ "โดมิโน พิซซ่า" เท่านั้นยังไม่พอเงินทุนอันหนา เตอะของกลุ่มมอนเทอเรย์กรุ๊ปที่สนับ สนุนธุรกิจพิซซ่าอย่างเต็มสูบ คือเครื่องการันตี พร้อมๆ กับความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการตลาดพิซซ่าในประเทศไทย แต่แล้ววิกฤตเศรษฐกิจเอเชียเมื่อปลายปี 2539 ก็ได้ฉุดให้ "โดมิโนพิซซ่า" ปิดฉากไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา บทเรียนของนักธุรกิจกลุ่มนี้ คือ การก้าวย่างที่ผิดพลาดในธุรกิจที่ตนเองไม่ถนัด แม้ว่าเรื่องราวของ "โดมิโนพิซซ่า" เป็นความคิดที่เรียบง่าย แต่สุดท้ายกลาย มาเป็น "โศกนาฏกรรม"

ก่อตั้งด้วยความมั่นใจ

กลางปี 2537 มอนเทอเรย์กรุ๊ป นำโดยชยันต์ เตชะสุกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ถือเป็นนักธุรกิจยุคยังก์เจนเนอเรชั่นคนหนึ่งในประเทศไทย ได้เสนอตัวเข้ามาเซ็นสัญญาร่วมทุนกับ "โดมิโนพิซซ่า" ของไต้หวัน ผู้ควบคุมการขายสิทธิ์แฟรนไชส์ในแถบเอเชียทั้ง หมด โดยมอนเทอเรย์กรุ๊ป ได้ตั้งบริษัทมอนเทอเรย์พิซซ่า จำกัด ขึ้นมาดูแล แฟรนไชส์ ดังกล่าว ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดยจะนำไปจ่ายค่าลิขสิทธิ์ 7.5 ล้านบาท ค่ารอยัลตี้ 4.5% ต่อยอดขาย และค่าเปิดร้าน 2.5 แสนบาทต่อสาขา โดยมีสัญญาการได้สิทธิ์ในการทำตลาด 20 ปี ไปจนถึงปี 2557 บริษัทดังกล่าวถือหุ้นโดยกลุ่มมอนเทอเรย์ 60%, โดมิโนพิซซ่า ไต้หวัน 10% ที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย

การร่วมทุนครั้งนั้นถือว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งของกลุ่มมอนเทอเรย์ ที่รุกเข้าสู่ธุรกิจฟาสต์ฟู้ดด้วยการซื้อแฟรนไชส์เข้ามาทำตลาด ถือเป็นการรุกชนิดที่ตนเองไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามชยันต์ก็ได้ให้อุมาภรณ์ เตชะสุกิจ อดีตภรรยาของเขาเป็นผู้ดูแล ซึ่งความจริงรากฐานการรุกเข้าสู่ธุรกิจฟาสต์ฟู้ดครั้งนี้เป็นแนวความคิดของ อุมาภรณ์ ที่เธอทำการวิจัยตลาดและเก็บ ข้อมูลโดยหยั่งถึงความต้องการ คือ แรง บันดาลใจสำคัญในการเร่งเร้าให้รุกเข้าสู่ธุรกิจพิซซ่าเพื่อนำมาซึ่งรายได้สวยหรูในอนาคต

อีกทั้ง บรรยากาศในช่วงนั้นดีมาก เนื่องจาก "พิซซ่า" จัดเป็นอาหารที่เริ่มแพร่ หลายในหมู่ผู้บริโภคคนไทยมากขึ้น หาก จัดทำอันดับในทำเนียบธุรกิจฟาสต์ฟู้ด "พิซซ่า"ถือเป็นดาวเด่นที่มีอนาคตรุ่งโรจน์ ตัวเลขการเติบโตของตลาดเฉลี่ย 20-30% ต่อปี และยังมีแนวโน้มจะสดใสอย่างต่อเนื่องพร้อมมูลค่าตลาดพิซซ่าโดยรวมมากกว่า 1,500 ล้านบาท เป็นสิ่ง เย้ายวนใจให้กลุ่มมอนเทอเรย์กระโดดเข้ามาในธุรกิจฟาสต์ฟู้ด

แนวความคิดเกี่ยวกับการตลาดจึงไม่เปิดขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป และไม่มีการขายลิขสิทธิ์ย่อยออกไปอีกหรือให้ผู้ประกอบการอื่นมาซื้อหัวไปเปิด ร้านดำเนินกิจการขยายสาขา โดยการดำเนินงานอยู่ภายใต้มอนเทอเรย์ พิซซ่า เท่านั้น และเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทาง ด้านการจัดการ อุมาภรณ์ได้ดึงสมชาย รุ่งศรีวัฒนา ผู้บริหารมือดีอดีตผู้จัดการผลิตภัณฑ์เบียร์โคโลนา จากบุญรอด บริวเวอรี่ เข้ามาดูแลด้านการปฏิบัติการ อีกทั้งยังดึงผู้ช่วยผู้จัดการร้านพิซซ่าฮัท อีกคนเข้ามาเพื่อเสริมด้านการตลาด

โดมิโนพิซซ่าจัดบ้านตัวเองเสร็จเรียบร้อย สเต็ปต่อไปคือโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดย 6 เดือนแรกของการ เปิดกิจการได้ใช้เม็ดเงิน 15 ล้านบาทเป็น งบโฆษณา และตั้งงบประมาณระหว่างปี อีก 10% ของยอดขาย เพื่อเป้าหมายส่วน แบ่งการตลาดปีแรก 20% โดยมียอดขาย 200 ล้านบาท และภายในปี 2539 ขอส่วน แบ่งการตลาด 50% เพราะมองเห็นการแข่งขันไม่รุนแรงและแนวโน้มการเติบโตของตลาดพิซซ่า

บุกเบิก "ดีลิเวอรี่"

กลยุทธ์การตลาดของโดมิโน พิซซ่าในประเทศไทย นับว่ามีบุคลิกที่ไม่ เหมือนใครเมื่อได้นำการบริการพิซซ่าแบบส่งถึงบ้าน หรือดีลิเวอรี่ ด้วยวิธีสั่ง ทางโทรศัพท์ผ่านคอมพิวเตอร์ออนไลน์เพียงหมุนหมายเลขเดียว (one number calling) และรอการซื้อกลับบ้านเท่านั้น โดยสาขาของโดมิโนพิซซ่า จะไม่มีการบริการให้นั่งทานในร้าน ซึ่งกลยุทธ์การตลาดแบบดีลิเวอรี่ ถือว่าโดมิโนพิซซ่าเป็นเจ้าแรกที่สร้างสรรค์ขึ้น

อย่างไรก็ดี แม้ว่าโดมิโนพิซซ่าจะ เป็นผู้บุกเบิกช่องทางการจำหน่ายระบบดีลิเวอรี่ แต่ยังมีข้อเสียเปรียบคู่แข่งขัน โดยเฉพาะพิซซ่าฮัท เจ้าตลาดพิซซ่าที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึงประมาณ 85-90% การแย่งชิงตลาดจากพิซซ่าฮัท ของโดมิโน พิซซ่านับเป็นงานที่ "หิน" มาก

กระนั้นก็ตาม โดมิโนพิซซ่า ซึ่งเปิดเกมแข่งขันอย่างดุเดือดกับพิซซ่าฮัท ยังมองว่าความสำเร็จของระบบดีลิเวอรี่ ไม่ได้อยู่ที่บริษัทสร้างความจดจำ และ ภักดีในสินค้าแก่ผู้บริโภค หรือการมีภาพ ลักษณ์ที่ดี สามารถควบคุมคุณภาพอาหารและบริการที่เป็นหนึ่งเท่านั้น แต่ทั้งหมดจะประสบความสำเร็จได้ต้องยก ให้กับการบริหารเวลา ถือเป็นหัวใจสำคัญ ของการทำดีลิเวอรี่ นี่คือกลยุทธ์หลักของโดมิโนพิซซ่า ที่จะนำมาใช้ในการรุกทางด้านการตลาด

การวิเคราะห์ตลาดออกมาในลักษณะนี้ของโดมิโนพิซซ่าถือว่าไม่ผิด แต่พวกเขาลืมไปว่าความนิยมของผู้บริโภคคนไทยยังชอบที่จะนั่งรับประทาน ตามร้านหรูหรามากกว่าซื้อกลับบ้านส่งผล ให้ระบบดีลิเวอรี่ของโดมิโนพิซซ่าไม่ค่อย เป็นที่ตอบรับเหมือนที่บริษัทตั้งใจเอาไว้

นอกจากนี้ ค่ายพิซซ่าฮัทก็ไม่นิ่งนอนใจในการรักษาตลาด จึงได้สร้างกำแพงป้องกันตลาดพิซซ่าตนเอง โดยในปี 2538 ได้จ่ายเงิน 26 ล้านบาท ในการอัดงบโฆษณา สูงที่สุดในวงการธุรกิจฟาสต์ฟู้ด เงินจำนวนดังกล่าว เป็น ที่น่าสังเกตว่า 60% นำไปเน้นความเป็นพิซซ่าฮัท บ่งบอกถึงการป้องกันตลาดตนเองให้แข็งแกร่ง และกลายมาเป็นจุด แข็งที่ตีกันคู่แข่งอย่างโดมิโนพิซซ่า

เมื่อความมุ่งมาดปรารถนาไม่ประ สบความสำเร็จในด้านยอดขายที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายจากที่ตั้งเอาไว้เดือน ละ 7.5 แสนบาท แต่ทำได้เพียงแค่ 5 แสนบาทต่อเดือน เนื่องจากผู้บริโภคยังไม่รู้จัก โดมิโนพิซซ่า ดังนั้น ปี 2538 บริษัทแม่จึงได้มีคำสั่งตรงลงมาให้ดำเนินกลยุทธ์ "30 นาที การันตี" ซึ่งเป็นกลยุทธ์เก่าที่บริษัทแม่เลิกใช้ไปนานแล้ว โดยรับประ กันว่าจะจัดส่งพิซซ่าให้ลูกค้าถึงบ้านได้ภายใน 30 นาที โดยหวังจะเพิ่มลูกค้ารายใหม่อีก 30% พร้อมๆ กับการลงทุนขยายสาขาแห่งที่ 2 โดยจะใช้เงินถึง 3 ล้านบาท และอัดงบโฆษณาอีก 10 ล้านบาท ที่สำคัญได้เลิกล้มความตั้งใจเดิมที่ จะผูกขาดลิขสิทธิ์โดมิโนพิซซ่าแต่เพียงผู้เดียว โดยเริ่มขายซับแฟรนไชส์ให้กับผู้ที่สนใจ ซึ่งถือเป็นทางออกที่ดีในการกระตุ้นยอดขาย

ในปีถัดมาจึงถือเป็นปีของการ "แก้ตัว" เมื่อบริษัทประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 100 ล้านบาท เพื่อนำไปขยายสาขาเพิ่ม อีกทั้งยังได้ทำการจัดแคมเปญโปรโมชั่นขายพิซซ่าพ่วงไอศ- กรีม โดยโดมิโนพิซซ่าจับมือกับ ไอศกรีม พรีเมี่ยมยี่ห้อ "บาสกิ้น รอบบิ้นส์" การจับมือของ 2 แบรนด์ดังกล่าว เป็นอีก ยุทธศาสตร์หนึ่งของโดมิโนพิซซ่า ที่ต้อง การผลักดันยอดขายพิซซ่าให้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากโดมิโนพิซซ่าเพิ่งเข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยเพียง 2 ปีเท่านั้น แถมยังใช้กลยุทธ์แบบดีลิเวอรี่เป็นหัวหอกในด้านการตลาด นับว่าค่อนข้างใหม่ สำหรับตลาดเมืองไทย การจับมือกับบาสกิ้นรอบบิ้นส์ จึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้ผู้บริโภครู้จักโดมิโนพิซซ่ามากขึ้น

ผลที่ตามมานับว่าน่าทึ่ง เมื่อ โดมิโนพิซซ่าสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นได้ถึง 40% อย่างไรก็ตาม ก็มีคำถามกลับเกิดขึ้นถึงเหตุผลของยอดขายที่พุ่งโด่งว่าเป็นเพราะผู้บริโภคติดใจพิซซ่าหรือ ไอศกรีม จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ จากรายงานประจำปีของ The Southeast Asia Frontier Fund ปี 2540 (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Siam Investment Fund 1 : SIF 1) ซึ่งเป็นกองทุน ของบริษัทฟินันซ่า บริษัทบริหารเงินลงทุน ที่เข้าลงทุนในโดมิโนพิซซ่า ผ่านการปล่อย กู้เงินจำนวน 2 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อปลายปี 2539 ระบุถึงความสำเร็จของ โดมิโนพิซซ่าปี 2539 ว่า สามารถเปิดสาขา ได้ถึง 21 แห่ง มียอดขาย 99 ล้านบาท ด้วยส่วนแบ่งการตลาดพิซซ่า 9%

"ความสำเร็จมาจากการใช้กลยุทธ์การตลาดแบบดีลิเวอรี่ และระบบโทรศัพท์สั่งพิซซ่าแบบเบอร์เดียว ประกอบกับมูลค่าตลาดรวมพิซซ่าปี 2539 สูงถึง 2,000 ล้านบาท มีอัตราเติบโต 30% และการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดของ คนไทยเพิ่มสูงขึ้น"

ด้านบริษัทไทยเรทติ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส (ทริส) มองตลาด พิซซ่าในแง่บวกว่า สภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการบริโภค รวมทั้งกำลังซื้อของประชากรที่สูงขึ้น ได้สนับสนุนปริมาณการบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ด คาด ว่าจะมีอัตราการเติบโตถึงปีละ 30% ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า

"ปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของ ธุรกิจนี้ ได้แก่ ทำเลที่ตั้ง คุณภาพบริการ การยอมรับในเครื่องหมายการค้า และความคุ้มค่าเงินของรายการอาหาร กลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุก โครงสร้างต้นทุนที่เหมาะสม การกระจายของธุรกิจ ที่มีประสิทธิผล ร้านสาขาที่ครอบคลุมพื้นที่ ปัจจัยเหล่านี้จะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในการแข่งขัน"

กระนั้นก็ตาม แม้โดมิโนพิซซ่าจะ รุกตลาดอย่างหนักหน่วง แต่เมื่อการประ กาศผลประกอบการของบริษัทออกมา ปรากฏว่า ปี 2538 มีรายได้ 11.33 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 27 ล้านบาท ปี 2539 แม้จะมีรายได้สูงถึง 99 ล้านบาท แต่กลับ ขาดทุนสุทธิ 59 ล้านบาท เกิดจากต้นทุน การดำเนินงานที่พุ่งพรวดถึง 159 ล้านบาท

ปรับกลยุทธ์หนีตาย

หลังจากไม่ประสบความสำเร็จนับตั้งแต่เปิดดำเนินกิจการมา โดมิโน พิซซ่าเริ่มตระหนักถึงความยากลำบากใน การทำธุรกิจ อย่างไรก็ดี ด้วยความมุ่งมั่นของนักธุรกิจกลุ่มนี้ ที่ถือคติ "ถอยหลังหกล้ม" แม้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจเริ่มซบเซามาตั้งแต่ปลายปี 2539 ส่งผลกระ ทบต่อธุรกิจฟาสต์ฟู้ด โดยมีอัตราการ ขยายตัวของตลาดลดลงเหลือ 10-15% เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และ ความถี่ในการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด ลดลง

ปี 2540 โดมิโนพิซซ่าได้ชูธงรบอีกครั้ง เมื่อประกาศรวมกิจการระหว่างมอนเทอเรย์พิซซ่า กับมอนเทอเรย์ไอศกรีม ที่บริหารแฟรนไชส์ไอศกรีม "โม เวนพิค" ของสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อร่วมกันรุกธุรกิจฟาสต์ฟู้ดเต็มตัว แผนการครั้งนี้เกิดจากการมองเห็นแนวโน้มธุรกิจ ค่อนข้างดีของผู้บริหาร ที่มองถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป้าหมายผลักดันให้ตัวเองเป็นเจ้าตลาดดีลิเวอรี่ ในปี 2544 โดยจะครองส่วนแบ่งตลาด 53% พร้อมทั้งบริษัทแม่จากอเมริกาได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและเพิ่มประ-สิทธิภาพยอดขายเข้ามาทำหน้าที่ในตำแหน่งโอเปอเรชั่นคอนซัลแตนท์ เนื่อง จากเป็นรองพิซซ่าฮัท อยู่หลายขุม

อย่างไรก็ดี โดมิโนพิซซ่า ปิดงบปี 2540 ด้วยยอดขาย 78.5 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 130 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งตลาดพิซซ่า 6.70%

 

แพ้ภัยตัวเอง

นโยบายการลงทุนอย่างบ้าคลั่งของโดมิโนพิซซ่า เกิดจากการตัดสินใจของชยันต์และอุมาภรณ์ ที่มีอำนาจเด็ดขาด ท่ามกลางความรุนแรงของวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งถือเป็นความผิดพลาดอย่าง ร้ายแรง โดยเฉพาะการไม่ยอมรับคำเตือนจากคนรอบข้าง

ช่วง 11 เดือน หลังจากกองทุน SIF 1 เข้ามาลงทุน และได้มีส่วนร่วมใน การประชุมและแสดงความคิดเห็นต่อการดำเนินงานของโดมิโนพิซซ่า เจ้าหน้าที่ กองทุนได้ส่งสัญญาณเตือน ในที่ประชุมบอร์ดและคณะผู้บริหารให้เห็นถึงอันตรายของวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำอย่างฉับพลัน อาทิ ไม่เห็นด้วยอย่างมากเกี่ยวกับการนำเข้าไอศกรีมราคาแพง จากสวิตเซอร์แลนด์เพื่อนำมาทำตลาดแบบดีลิเวอรี่ ในเมื่อมีแคมเปญร่วมกับ ไอศกรีมบาสกิ้น รอบบิ้นส์ ที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว อีกทั้งการไม่เห็นด้วยกับการทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อทีวี

"เวลาบริหารงานจริงๆ ทั้งชยันต์และอุมาภรณ์ไม่ยอมรับฟังคำแนะนำ แม้ แต่บริษัทแม่ ดังนั้น พวกเขาจึงทำตลาด ร่วมกับไอศกรีมจากสวิส ทั้งๆ ที่ลูกค้าไม่นิยมเนื่องจากราคาแพงมาก และ ต้องสูญเสียงบประมาณในการโปรโมตแคมเปญนี้ถึง 20 ล้านบาท" ยูจีน เอส เดวิส กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟินันซ่า กล่าว

เขายังกล่าวเสริมว่า กรณีความล้มเหลวของโดมิโนพิซซ่า เกิดจากมีทิศทางการลงทุนที่ผิดพลาด เพราะธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จได้ต้องอยู่ภายใต้การลงทุนที่เหมาะสม เพราะธุรกิจพิซซ่า ยังเป็นธุรกิจที่มีอนาคต อย่างพิซซ่าฮัท ซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก ดังนั้น ฟินันซ่า มั่นใจว่าควรจะมีพิซซ่า 2 ยี่ห้ออยู่ในตลาด แต่ผู้บริหารของโดมิโนพิซซ่าดื้อรั้นเกินไปและไม่เข้มงวดในการควบคุมดูแลองค์กร อีกทั้งการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเป็น แรงกดดันให้โดมิโนพิซซ่าต้องปิดกิจการ

"การดำเนินงานของโดมิโนพิซซ่า เป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อในเรื่องการดื้อรั้นและไม่รัดกุมของผู้บริหาร สิ่งที่ผิดพลาด คือ การหายไปของความเป็นนักธุรกิจที่ดีในตัวชยันต์ รวมถึงผู้บริหารคนอื่นๆ ด้วย ที่ไม่ยอมรับฟังคำแนะนำ ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ชำนาญในธุรกิจฟาสต์ฟู้ด" ยูจีน กล่าว

ตอนอวสาน

เริ่มต้นปี 2541 โดมิโนพิซซ่าได้ใช้วิธีการเด็ดขาด ด้วยการปิดสาขา 4 แห่ง จากเดิมที่มี 30 แห่ง เนื่องจากไม่สามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้ และเพื่อ ตัดยอดขาดทุนให้เหลือน้อยที่สุดอีกด้วย ซึ่งเป็นความโชคร้ายของโดมิโนพิซซ่าในการหารายได้ให้พอเพียงกับต้นทุนการ ดำเนินงาน ส่งผลให้เกิดสภาพคล่องทาง การเงินจนต้องดิ้นรนหาเม็ดเงินจากแหล่ง ต่างๆ เข้ามาสนับสนุนในการดำเนินธุรกิจ

แม้แต่ฟินันซ่ายังพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะพยายามหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ให้โดมิโนพิซซ่า โดยมีนักลงทุนสถาบันการเงินสนใจหลายราย "เราได้บอกชยันต์ไปแล้วว่ามีคนสนใจ ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ที่นักลงทุนเหล่านั้นจะเข้ามาช่วยฟื้นฟูโดมิโนพิซซ่า และเมื่อค่าเงินบาทลอยตัวความเป็นจริงเริ่มชัดเจน เราได้คุยกับชยันต์อีกครั้งเกี่ยวกับแนวความคิดการแยกบริษัทดีและเสียออกจากกัน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้มเหลว" ยูจีน กล่าว

ความล้มเหลว เกิดจากผลงานที่บอบช้ำในอดีตส่งผลให้โดมิโนพิซซ่า ไม่สามารถหาเม็ดเงินใหม่เข้ามาจุนเจือบริษัทได้ ในที่สุด เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2542 โดมิโนพิซซ่า ได้ปิดกิจการลง ซึ่งชยันต์ให้เหตุผลและยอมรับถึงการอำลา วงการว่า เป็นเพราะบริษัทประสบปัญหา หลายด้าน สาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจและปัญหาด้านการบริหารที่ไม่มีความถนัด การแข่งขันที่รุนแรงและ ขาดสภาพคล่อง

หลังจากปิดกิจการไปแล้ว ใช่ว่าโดมิโนพิซซ่าจะรอดตัวไปเพราะยังมีห่วงโซ่คล้องคอทางด้านหนี้สินติดอยู่ โดย เฉพาะชยันต์กับอุมาภรณ์ ที่ใช้เครดิตส่วนตัวไปกู้เงินเข้ามาลงทุน เช่น ทั้งคู่ค้ำ ประกันเงินกู้จำนวน 2 ล้านเหรียญสหรัฐ กับ SIF 1 โดยมีเงื่อนไขจะต้องชำระดอกเบี้ยในอัตรา Libor+ 5.5% ทุกๆ 6 เดือน เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจไม่สามารถ คืนหนี้ได้ตามกำหนด แม้ว่าก่อนปิดกิจการ 1 สัปดาห์ ชยันต์ได้ขอเจรจาเกี่ยวกับหนี้สิน โดยยอมให้ยึดสินทรัพย์ แทนการชำระหนี้ใน 11 สาขาที่เปิดดำเนิน งานอยู่ และในอีก 19 สาขาที่ปิดไปแล้ว รวมมูลค่าทั้งสิ้น 48 ล้านบาท

ข้อเสนอดังกล่าวฟินันซ่าไม่ยอมรับ เนื่องจากการตีมูลค่าหนี้สินจะต้องใช้เวลาในปัจจุบัน "ชยันต์ไม่ยอมรับความ จริงว่าในปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว ในแง่ เขายังเรียกร้องและต้องการใช้หนี้ในราคา เดิม ความจริงราคาทรัพย์สินลดลงไปมากแล้ว" ยูจีนกล่าวถึงการไม่ยอมรับเคลียร์หนี้ก้อนนี้

หลังจากไม่ยอมรับข้อเสนอ ฟินันซ่าตัดสินใจฟ้องโดมิโนพิซซ่า เพื่อให้ศาลตัดสินเกี่ยวกับหนี้จำนวนดังกล่าว "เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรณีโดมิโนพิซซ่า เราจะขาดทุนเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลและการเรียกร้องเอาคืน จากชยันต์และอุมาภรณ์" ยูจีน กล่าว

นอกจากนี้ โดมิโนพิซซ่า ยังติดค้างหนี้จำนวน 20 ล้านบาท กับบมจ. สยามพาณิชย์ลิสซิ่ง (SPL) ที่ชยันต์ได้ไปขอลิสซิ่งเมื่อต้นปี 2539 โดยมีสัญญา 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 17% ต่อปี ขณะนี้ ทำการยึดทรัพย์สินคืนเกือบหมดแล้ว

"ส่วนใหญ่จะเป็นรถจักรยานยนต์ 200 คัน เตาอบ และคอมพิวเตอร์ ซึ่งในช่วงก่อนปิดกิจการชยันต์ก็ติดต่อเจรจาเคลียร์ตลอด และหนี้ก้อนนี้จะไม่สร้างความเสียหายต่อเราเพราะสินทรัพย์ ที่ยึดมา โดยเฉพาะเตาอบได้มีพิซซ่าฮัท และนารายณ์พิซซาเรียกำลังขอซื้อต่อ" ชัชวาลย์ เกียรติไกลกังวาน กรรมการผู้จัดการ SPL กล่าว และ SPL จะไม่ทำการฟ้องร้องเหมือน SIF "เพียงแต่ถ้าเรา ไม่ได้มูลหนี้คืนครบตามจำนวน ชยันต์จะต้องรับผิดชอบ ในส่วนที่เสียหาย เพราะ เป็นการค้ำประกันส่วนตัว เมื่อเขาคืนอุปกรณ์ทำมาหากินหมดแสดงว่าจะเลิกธุรกิจพิซซ่าอย่างถาวร"

การเดินทางของโดมิโนพิซซ่าดูเหมือนจะสวยหรู ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างสรรค์เป็นระบบ ที่เป็นการปรนนิบัติ ต่อผู้บริโภคอย่างตั้งใจและกระตือรือร้น

แต่ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะชนะ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us