Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2542








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2542
จากแนวคิดแห่งอาหารใหม่ สู่อุตสาหกรรมสาหร่าย             
 

   
related stories

สาหร่ายเกลียวทอง การบุกเบิกเพิ่งได้เก็บเกี่ยว

   
search resources

Health Foods and Food Supplements




ชาวเยอรมัน เป็นชาติแรกที่พยายามจะค้นคว้าหาแหล่งอาหารชนิดใหม่ทดแทนการขาดแคลนอาหาร โดยเริ่มสนใจการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

ปัญหาการขาดแคลนอาหารของเยอรมนีในยุคนั้นรุนแรง ถึงขนาดว่าต้องเอาอาหารสัตว์มาเปลี่ยนเป็นอาหารคน และนักวิทยาศาสตร์เยอรมัน พุ่งเป้าวิจัยยีสต์ชนิดที่กินได้ และสาหร่ายสีเขียวคลอเรลลา

ในยุคนั้น การทดลองพบว่ายีสต์แบ่งตัวได้เร็วมีคุณค่าโปรตีนสูง แต่ต้องใช้สารอินทรีย์เช่น น้ำตาลเป็นอาหาร ขณะที่สาหร่ายคลอเรลลา แบ่งตัวช้ากว่า ทว่า ต้องการเพียง อากาศ น้ำ และแสงแดด เท่านั้น

ซึ่งในเชิงอุตสาหกรรมแล้ว การเพาะเลี้ยงสาหร่ายจะ เหนือกว่าการเพาะเลี้ยงยีสต์

หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 วงการวิทยาศาสตร์ของโลกเริ่มสนใจที่จะค้นคว้าแหล่งอาหารจากสาหร่าย คลอเรลลา โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งใช้สาหร่ายทะเลเป็น อาหารมานานแล้ว

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาวะการขาดแคลนอาหารเริ่มปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างชัดเจน ทั้งฟากยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นให้ความสนใจการเพาะเลี้ยงอาหารจากสาหร่ายขนาดเล็กเพิ่มขึ้น แต่มาเป็นรูปร่างแท้จริงในช่วงหลังสงคราม แล้ว

ช่วงนั้นยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์จากค่ายใดที่รู้จัก สาหร่าย Spiruling หรือสาหร่ายเกลียวทองเลย รู้จักกันแต่เพียงสาหร่ายคลอเรลลา ซึ่งเป็นสาหร่ายขนาดเล็กมากชนิดหนึ่งเท่านั้น

แม้ว่า ภาวะการขาดแคลนอาหารของโลกจะดีขึ้นมาแล้ว แต่วงการวิทยาศาสตร์ก็ยังพยายามจะค้นคว้าเรื่องดังกล่าวต่อไป โดยเฉพาะอเมริกา กับ รัสเซีย ซึ่งมีความคิดจะใช้สาหร่ายเป็นอาหารในอวกาศ และในระยะหลังนี่เองที่เริ่มมีแนวคิดใช้สาหร่ายในวงการสุขภาพ

พ.ศ.2500 เป็นช่วงเวลาที่โลกได้ค้นพบสาหร่ายตัว ใหม่ คือสาหร่ายเกลียวทอง ซึ่งดีกว่า คลอเรลลาทั้งในด้านคุณสมบัติ และการเพาะเลี้ยง

พวกเขาพบว่า ในทางธรรมชาติสาหร่ายเกลียวทองถูก ใช้เป็นอาหารในทวีปแอฟริกามานานแล้ว เพราะเป็นสาหร่ายที่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ความหนาแน่นของมันทำให้ชนเผ่าพื้นเมืองใช้ภาชนะตัก หรือนำมาทำให้แห้งเพื่อเป็นอาหาร เลี้ยงชีวิตของทวีปที่ขาดแคลนอาหารอย่างหนักแห่งนี้

เม็กซิโก ซึ่งเป็นแหล่งสาหร่ายเกลียวทองทางธรรมชาติ ประเทศหนึ่ง ถือเป็นประเทศแรกที่เพาะเลี้ยงสาหร่ายในเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งหากมองว่าได้มาโดยบังเอิญก็ได้ เมื่อบริษัท ผลิตโซดาแห่งหนึ่งพบสาหร่ายในแหล่งน้ำวัตถุดิบ ต่อมามีการ วิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนองค์การอาหารและยาของเม็กซิโก ให้การยอมรับในพ.ศ.2516

ในวงการวิทยาศาสตร์โลก นำเรื่องการค้นพบและการศึกษาเรื่องสาหร่ายชนิดนี้เข้าที่ประชุมระหว่างชาติ เรื่อง จุลชีววิทยาประยุกต์เมื่อพ.ศ.2510 ที่ประเทศเอธิโอเปีย และพบว่า นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ที่พบสาหร่ายนี้เป็นคนแรก คือ ชาวเยอรมัน ชื่อ เดอเบน ในพ.ศ. 2370 แต่กลับมีคนให้ ความสนใจมันอย่างจริงในพ.ศ.2500 ล่วงมาแล้ว

ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นชาติแรกๆ อีกชาติหนึ่งที่วิจัย เรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังเพื่อนำมาทำเป็นอุตสาหกรรมอาหาร โดยเริ่มเมื่อพ.ศ.2506 โดยศ. คลีเมนต์ แห่งสถาบันวิจัยสัตว์ น้ำฝรั่งเศส

สำหรับญี่ปุ่น ได้เริ่มนำสาหร่ายจากเอธิโอเปียมาวิจัย ในพ.ศ.2511 หลังจากนั้นได้นำผลการวิจัยให้บริษัท เกรท-เธอร์ เจแปน เคมิคัล อิงค์ อินดัสตรี ในอีก 2 ปีต่อมา และพบ ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศในเอเชียที่มีความเหมาะสมต่อการ เจริญเติบโตของสาหร่ายเกลียวทอง

เกรทเธอร์ เจแปนฯ ตั้งบริษัทลูกในประเทศไทย ชื่อว่า บริษัทสยามแอลจี ในพ.ศ.2519 ที่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทอง ส่งกลับไปญี่ปุ่น ในชื่อว่า อาหารสุขภาพลีนากรีน และ ไฮลีนา มีกำลังการผลิตปีละ 100 ตัน

จะเห็นว่า โนว์ฮาวในการเพาะเลี้ยงสาหร่ายเกลียวทอง ในรูปอุตสาหกรรมนั้นเพิ่งจะมีการพัฒนาขึ้นมาในไม่กี่สิบปีหลังมานี้

สำหรับประเทศไทยเริ่มจะรู้จักสาหร่ายชนิดนี้ และเริ่มศึกษาวิจัยในช่วงพ.ศ.2530 จนสามารถมีฟาร์มสาหร่าย ของ ไทยเองในช่วง 10 ปีหลังมานี้เอง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us