ปัจจุบัน บริษัท ไทยพอทเทอร์ อินดัสตรี จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เซรามิก แบรนด์
"ชะเลียง" ได้มีการส่งออก ไปยังประเทศต่างๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป อาทิ
อังกฤษ, สวีเดน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, ออสเตรเลีย และแค-นาดา
เป็นต้น และเมื่อไม่นานมานี้ "ชะเลียง" ได้ไปเปิดสาขา ณ ประเทศ ดูไบ
นับเป็นสาขาแรกในต่างประเทศ ภายใต้การดูแลของบริษัท ซี.อาร์.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล
จำกัด ซึ่งเป็นบริษัท ที่พงษ์ศักดิ์ เชิดจารีวัฒนานันท์ ประ-ธานกรรมการบริษัท
ไทยพอทเทอร์ฯ ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นผู้จำหน่ายปลีก ภาย ใต้ชื่อ "ชะเลียงโฮมสไตล์สโตร์"
โดยเปิดสาขาแรกอยู่หน้าโรงงานที่เชียงใหม่ จากนั้นก็เป็นตัวแทนในการจำหน่ายปลีก
สินค้าชะเลียงไปตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ในกรุงเทพฯ ได้แก่ เซ็นทรัล ชิดลม
และเซน เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ และในอนาคตอันใกล้นี้ พงษ์ศักดิ์ เผย แผนว่า
จะเปิดอีกประมาณ 2 สาขาในกรุงเทพฯ โดยเล็งไปที่เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า และเดอะมอลล์
บางกะปิ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจตลาดให้ชัดเจน
สำหรับแผนการขยายสาขาไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียนั้น พงษ์ศักดิ์เผยว่า
ภายในปีค.ศ. 2003 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้าว่าจะเปิดให้ครบ 20
สาขา โดยประมาณเดือนเมษายนปีหน้านี้ จะเปิดสาขาที่สิงคโปร์เป็นสาขาแรกของปี
จากนั้นก็มีแผนที่จะขยายต่อไปยังญี่ปุ่น มาเลเซีย ดูไบ และซาอุดีอารเบียด้วย
ส่วนตลาดยุโรปซึ่งเป็นตลาดหลักในการส่งออก จะเป็นก้าวต่อไปที่บริษัทฯจะไปเปิดสาขาในอนาคต
ซึ่งหมายถึงว่า สินค้าของชะเลียงต้องมีมาตรฐานและคุณภาพเหนือกว่าสินค้าอื่นที่มีอยู่ในตลาดยุโรป
เนื่องจาก สินค้าตกแต่งบ้านในตลาดยุโรปมีการแข่งขันสูงมาก
แผนการดำเนินธุรกิจในปีค.ศ. 2000 พงษ์ศักดิ์เปิดเผยว่ามี 3 ส่วนด้วย กันที่ทางบริษัทมุ่งเน้น
คือ
ส่วนแรก การปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการดีไซน์และการผลิตให้ไปถึง
ISO 9000 โดยทางบริษัทจะมุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาการผลิต การแข่งขัน การลดต้นทุน
และการส่งมอบของให้ตรงเวลา รวมทั้งคุณภาพของสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งทางบริษัทได้มีส่วนงาน
R&D ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาสินค้า โดยใช้งบประมาณปีละ
200,000 บาท พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคเหนือ
ในการจัดอบรมบุคลากรของบริษัทในการพัฒนาฝีมือด้านต่างๆ
"เราต้องมีดีไซน์เป็นของตัวเองที่เป็นมาตรฐานสากล เพื่อเตรียมพร้อมนำเสนอลูกค้าได้ตลอดเวลา
โดยไม่ต้อง รอออร์เดอร์ลูกค้าเพียงอย่างเดียว มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
เนื่องจากปัจจุบันเรามีคู่แข่งเยอะ มาก โดยเฉพาะคู่แข่งทางด้านดีไซน์ที่น่ากลัวของเรา
คือ ฟิลิปปินส์ นอกจากนั้นยังมีคู่แข่งด้านราคา ได้แก่ จีน และเวียดนาม ที่กำลังมาแรงอีกด้วย"
ผู้บริหารของไทยพอทเทอร์ ชี้แจง
ส่วนที่ 2 ได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการขยายการขาย โดยเฉพาะในส่วนของ
E-COMMERCE
"ขณะนี้ก็สมัครเข้าไปอยู่ในเทรด ฮับในเว็บไซต์ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแหล่งรวมข้อมูลเกี่ยวกับทางด้านการค้า
ซึ่งเราได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคเหนือ โดยทางศูนย์ฯ
ได้เลือกบริษัทเราเป็นบริษัทแรกที่เข้าไปเป็นบริษัทนำร่องในโครงการนี้ และเชื่อว่าในส่วนของ
SME กรุ๊ป ก็จะมีตามมาอีก นอกจากนั้นคุณทักษิณ ชินวัตร จะมีการเซ็ตอัพไซเบอร์มอลล์ขึ้นมา
เพื่อที่จะทำในเรื่องเดียวกัน ก็คงเป็นอีก ส่วนที่เราจะใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์"
ผู้บริหารหนุ่มกล่าว
และส่วนที่ 3 คือ เรื่องการขยายตลาดส่งออก และการขยายตลาดค้าปลีกในประเทศ
ภายใต้แบรนด์เนม "ชะเลียง" โดยมีการพัฒนารูปแบบสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด
ซึ่งจะใช้เทรนด์เป็นตัวนำ ซึ่ง เทรนด์ของดีไซน์ในปีใหม่นี้ จะมีกลิ่น อายของตะวันออก
สไตล์ญี่ปุ่น จีน เป็น ต้น โดยสีที่ใช้จะมีความนุ่มนวลมากขึ้น
"ปีหน้าเราจะเห็นชะเลียงในตลาด ทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น โดยเรามีแผนจะขยายสาขาเราไปที่สิงคโปร์ในเดือนเมษายน
ในห้างทาคาชิมาย่า และเปิดอีก 2 สาขาที่ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ ซึ่งอาจจะเป็นเซ็นทรัล
ปิ่นเกล้ากับเดอะมอลล์ บางกะปิ แต่ยังไม่สรุป เนื่องจากอยู่ในช่วงที่เราสำรวจตลาดอยู่
และที่เหลือเป็นการขยายในตะวันออกกลาง ซึ่งปัจจุบันมี 1 แห่งที่ดูไบ และคงจะมีเพิ่มอีก
3-4 แห่ง ในดูไบและซาอุฯ" พงษ์ศักดิ์เล่าแผนงานภายในปีหน้าของบริษัทฯ
หมายเหตุ : อ่าน "ชะเลียงเซรามิก เป้าหมายแฟรนไชส์ทั่วโลก" ได้ใน "ผู้จัดการ"
ฉบับที่ 193 ตุลาคม 2542