ปี 2541 ภาพยนตร์เรื่อง "อันธพาลครองเมือง" ของค่ายไทเอ็นเตอร์เทนเม้นท์
ที่มี วิสูตร พูลวรลักษณ์ เป็นผู้อำนวยการสร้าง ทำรายได้ลบสถิติของหนังไทยทุกเรื่องโดยทำรายได้ถึง
75 ล้านบาท
ปี 2542 นางนาก จากค่ายเดียว กันทำรายได้ดับเบิ้ลเป็นเท่าตัว 150 ล้าน
บาท ลบคำปรามาสที่ว่าหนังไทยไม่มีทางชนะหนังดังจากฮอลลีวูดลงได้ และเมื่องานประกวดภาพยนตร์ที่เมืองแวนคูเวอร์
ประเทศแคนาดา ภาพของชาวต่างประเทศที่ยืนเข้าคิวยาวเพื่อคอยซื้อตั๋วดูหนังเรื่องนี้ท่ามกลางอุณหภูมิที่เหน็บหนาว
เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจและคิดไปไม่ถึงเหมือนกัน
"ความฝันที่สูงสุดของคนสร้างหนังก็คือ การที่หนังของคุณมีโอกาสได้ฉายไปทั่วโลก
ใครก็ตามที่ได้มีโอกาสอย่างนี้ ไม่ภูมิใจก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว แต่ถ้าจะให้สุดยอดจริงของมันเลยก็คือ
1 ใน 5 ของรางวัลออสการ์ ซึ่งในเอเชียเคยมีแต่หนังฮ่องกง จีนแดง และอิน-เดียเท่านั้น"
วิสูตร พูลวรลักษณ์ ผู้อำนวยการสร้างหนังวัย 40 ต้นๆ เอ่ยกับ "ผู้จัดการ"
แล้วกล่าวถึงความในใจต่อ
"ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะเป็นตัวแทนของคนไทยที่จะไปอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ได้
ผมก็หวังว่าคนในรุ่นต่อๆ ไปน่าจะทำได้สำเร็จ"
วิสูตรตั้งความหวังไว้กับเรื่องนี้ มันจะเป็นความฝันที่ไกลไปหรือไม่
ไม่มีใครรู้ แต่เมื่อมีการสร้างภาพยนตร์ไทย เรื่องแรกคือ นางสาวสุวรรณ เมื่อ
76 ปีก่อนนั้น ก็ไม่มีใครคาดคิดเหมือนกันว่าในอนาคตจะมีหนังไทยอย่างนางนากไปโด่งดังในต่างประเทศเช่นกัน
ธุรกิจของการทำหนังไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยน
แปลงอีกครั้งโดยมีวิสูตรและทีมงานของเขามีส่วนอย่างยิ่งในการจุดประกาย
วิสูตรเป็นลูกชายของเจริญ ประธานบริษัทโกบราเดอร์ ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงหนังมานานกว่า
40 ปี เป็นพี่ของวิชัยผู้บริหารโรงภาพยนตร์ในค่าย EGV ซึ่งปัจจุบันเป็นค่ายเจ้าของโรงหนังที่มากที่สุดในประเทศไทย
เป็นพูลวรลักษณ์อีกคนหนึ่งที่ชีวิตในวัยเด็กคลุกคลีมากับโรงหนัง "ทั้งขายตั๋ว
ขายน้ำ เมื่อก่อนช่วงตรุษจีนทีผมดูหนังวันละประมาณ 5 เรื่องและดูหนังวนเวียนอยู่อย่างนั้น"
วิสูตรเล่า
จนกระทั่งเขาจบการศึกษาจากโรงเรียนสหคุณศึกษา หลังจากนั้นก็มารับหน้าที่ทำอาร์ตเวิร์กเป็นฝ่ายศิลป์ให้กับโรงหนังของครอบครัว
ส่วนใหญ่ในช่วงนั้นหนังจีนบูมมากทำโฆษณาหนังจีนไปประมาณ 200 เรื่อง และในช่วงเวลานั้นก็ยังได้มีโอกาสเดินทางไปฮ่องกง
ไปไต้หวันบ่อยๆ เพื่อไปซื้อหนังเข้ามาฉายในเมืองไทย
อิทธิพลต่างๆ ของการที่มีโอกาส ดูหนังมากกว่าคนอื่นๆ ได้ซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของวิสูตรตั้งแต่วัยเด็กมาโดยไม่รู้ตัวบวกกับประสบการณ์ต่างๆ
ที่ได้รับในการทำงานที่เกี่ยวกับธุรกิจของหนังอีก 7 ปี มีส่วนอย่างมากที่ทำให้วิสูตรมีความมุ่งมั่น
ในการที่จะทำหนังเอง ซึ่งความจริงแล้วเป็นเรื่องที่เขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก
"สมัยเรียนมัธยม ผมก็เคยบอกเพื่อนว่าเมื่อเรียนจบจะไปทำหนัง เพื่อนๆ
ฟังแล้วยังหัวเราะ"
และในระหว่างที่ทำงานให้กับโรงหนังของครอบครัวนั่นเอ ทำให้เขาได้รู้จั
และสนิทสนมกับ "ปี๊ด" ธนิตย์ จิตต์นุกูล และ "อังเคิ่ล" อดิเรก
วัฎลีลา ซึ่งสองคนนี้รับทำใบปิดให้กับโรงหนังของโกบราเดอร์ ทั้ง 3 คนมีความใฝ่ฝัน
ในเรื่องเดียวกันคืออยากทำหนังไทยที่ตัวเองอยากดู ไม่ทำหนังผู้ใหญ่และไม่ทำหนังตามกระแส
ไทเอ็นเตอร์เทน เม้นท์ก็เลยเกิดขึ้น ด้วยเงินทุนครั้งแรก 2 ล้านบาท ที่ได้รับจากเจริญผู้เป็นพ่อ
และจรัลผู้เป็นอาคนที่ 4 หนังเรื่องแรกที่เขาทำในวัยเพียง 25 ปีคือ "ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย"
โดยมี "ปี๊ด" และ "อังเคิ่ล" เป็นคนเขียนบท และเป็น ผู้กำกับและเป็นหนังไทยที่ทำรายได้มหาศาลในเวลานั้น
"ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย" ได้ปิดฉากเก่าของหนังไทยซึ่งเคยเป็นยุคดาราคู่ขวัญมานาน
เช่น สมบัติ อรัญญา สรพงศ์ จารุณี มาสู่ยุคใหม่ โดยนำเอาดาราใหม่ซึ่งเป็นวัยรุ่นทั้งกลุ่มมาแสดง
บิลลี่ สิเรียม สุรศักดิ์ วงศ์ไทย เองก็ได้แจ้งเกิดในเรื่องนั้น นอกจากความคิดที่กล้าฉีกแนวเดิมๆ
ของหนังไทย ที่เรื่องราวมักอิงอยู่กับภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาหนักๆ ปัญหาชีวิตครอบครัวเป็นเรื่องวัยรุ่นสนุกๆ
ในครั้งนั้นแล้ว ก็ยังเป็นหนังไทยเรื่องแรกๆ เน้นในเรื่องการผลิตอย่างมากเช่นในเรื่องของ
การจัดแสง จัดภาพ รวมทั้งเทคนิคในการถ่ายทำต่างๆ
ซึ่งทั้งหมดนั้นได้โดนใจวัยรุ่นไทย ไปอย่างจัง และที่สำคัญกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นนั้นเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำคัญที่สุดของธุรกิจหนังที่วิสูตรมองเห็น
ค่ายไทฯ เลยเป็นค่ายของคนรุ่นใหม่ที่เริ่มมีชื่อเสียงมานับตั้งแต่นั้น
หนังเรื่องใหม่ทยอยมาอย่างต่อเนื่องปีละ 1-2 เรื่อง งบประมาณในการทำจาก 2
ล้านบาทเพิ่มเป็น 20 ล้านบาทในบางเรื่อง หนังในค่ายนี้เช่นเรื่องฉลุย กลิ้งไว้ก่อน
พ่อสอนไว้ บุญตั้งไข่ รักแรกอุ้ม โดยส่วนใหญ่เป็นหนังวัยรุ่น เนื้อเรื่องค่อนข้างทันสมัย
ให้ข้อคิด พยายามหลีกเลี่ยงความจำเจของคำว่าหนัง "น้ำเน่า" มา โดยตลอด
จนกระทั่งมาถึงเรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง และนางนาก ซึ่งเป็นผลงานเรื่องล่าสุดที่ได้ทำให้คนไทยอีกจำนวนมาก
ที่ไม่เคยเข้าดูหนังไทยมานานต้องตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปดู
ความสำเร็จของการจับตลาดหนัง วัยรุ่นของวิสูตร ทำให้ต่อมาค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่มีกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นเป็นเป้าหมายหลักอดรนทนไม่ได้
ต้องเริ่มลงสนามแข่งขันบนถนนของแผ่นฟิล์มนี้ด้วย คือแกรมมี่ฟิล์ม และอาร์เอสฟิล์มเมื่อมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากค่ายใหญ่
เงินหนา วิสูตรก็เลยบอกว่าเรื่องของการ พัฒนาทางความคิดยิ่งเป็นเรื่องที่หยุดนิ่งไม่ได้
ทุกวันนี้การดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสืออาจจะเป็นเพียงงานอดิเรกของบางคน
แต่สำหรับวิสูตรแล้วมันน่าจะเป็นงานหลักที่เขาจำเป็นจะต้องทำในสิ่งต่างๆ
เหล่านี้วนเวียนกันอยู่ตลอดเวลา
"ทุกวันนี้ผมเองก็พยายามเกาะไปตามกระแส แม้อายุ 40 กว่าแล้วนะแต่หนังที่ออกมา
90% ผมจะต้องดู ดูไม่ทันก็ซื้อเทปเก็บไว้ดูวันหลัง แม้แต่เทปเพลงที่ออกมาตามท้องตลาด
10 ชุด ผมซื้ออย่างน้อย 9 ชุด ฟังหมดม้วนบ้าง ไม่หมดม้วนบ้าง แต่ต้องฟังถ้าลูกผมรู้ว่าสัปดาห์นี้หนังเรื่องไหนติดอันดับ
หรือเพลงของค่ายไหนติดอันดับผมเองก็ต้องรู้ด้วยเหมือนกัน"
ส่วนหนังเรื่องล่าสุดที่อยู่ในใจของคนทำหนังคนนี้ คือ "The Sixth Sense"
ซึ่งเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ผลงานการแสดงของบรูซ วิลลิส และ โทนี่ คอลเล็ต
"ผมดูเรื่องนี้แล้วเหมือนกับเราถอยหลัง เขาคิดเรื่องได้อย่างไรซับซ้อนจริงๆ
เราไม่สามารถทำหนังอย่างนี้ได้เลย ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาเริ่มความคิดกันได้อย่างไร"
กระบวนการทางความคิด เป็นเรื่องสำคัญที่วิสูตรมองว่าทำให้หนังไทยไม่ค่อยพัฒนา
เขาได้โยงปัญหาเรื่องนี้กลับเข้าไปสู่เรื่องระบบการศึกษาของไทย
"ขบวนการทางความคิดของคนไทยไม่ได้ถูกสอนมาเหมือนฝรั่งเราถูกฝึกมาให้ท่องจำ
ไม่ได้ฝึกมาให้คิด ใครฉีกสูตรออกไปคือผิด แต่ระบบการศึกษาเมืองนอกถ้าใครฉีกสูตรออกไปได้
ดี ก็จะได้เอเลย เพราะถือว่ามันเก่งกล้า คิด กล้าฉีกแนวออกไป และที่สำคัญอีกอย่างก็คือเราติดดูละครแบบไทยๆ
มาตั้งแต่เด็กๆ ทุกอย่างมันซึมเข้ามาหมด ดังนั้นถ้าจะให้คนไทยไปเขียนบทบางครั้งมันก็ฉีกไม่ออกเหมือนกัน"
นอกจากนั้นโรงเรียนสอนเกี่ยวกับภาพยนตร์จริงๆ ในเมืองไทยก็ยังไม่มีนอกจากเลือกเรียน
3-4 ปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย เรียนจบแล้วหาประสบการณ์จากการทำงานคือก้าวแรกของความคิด
ในขณะเดียวกันเด็กฝรั่งจบออกมาเขาก็เริ่มแข่งขันได้เลย"
ดังนั้นอนาคตของหนังไทย จะทำได้ดี ได้ซับซ้อนเท่าหนังฝรั่งคงอีกนานกว่าจะเป็นไปได้
และหมายถึงระบบการศึกษาแบบเดิมๆ ของไทยต้อง เปลี่ยนด้วยเช่นกัน
เช่นเดียวกับการสร้างหนังเทคนิค ซึ่งหนังไทยไม่มีทางไล่ตามหนังฝรั่งได้ทัน
"ตั้งแต่ผมดูหนังเรื่องคนเหล็กภาค 3 ที่มันใช้เทคนิคปั้นน้ำเป็นตัวได้
สามารถให้ของเหลวที่ไหลอยู่กับพื้นกลายเป็นคนยืนขึ้นมา ในตัวคนก็มีเงาสะท้อนของวัตถุที่เข้ามาตั้งแต่นั้นมา
ผมก็เลิกคิดที่จะทำหนังเทคนิคแข่งกับเขา แต่หากการใช้เทคนิคบางเรื่องเพื่อความสมจริง
เป็นเรื่องที่แข่งกันได้ หรือสู้กันในเรื่องกระบวนการความคิด ผมก็ว่าเราสู้ได้แม้ต้องใช้เวลา"
อย่างไรก็ตามวิสูตรมองว่า นางนากก็ไม่ได้เป็นหนังไทยที่มีโครงเรื่องซับซ้อนหรือเด่นมากนักแต่เป็นความตั้งใจในการทำหนัง
การใช้แสงการตัดต่อภาพ และที่สำคัญทีมงานทำการบ้านอย่างมากเพื่อให้เรื่องสมจริงที่สุด
ความ สำเร็จของเรื่องนี้จะเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของหนังไทย เพราะมันเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่ดึงให้คนไทยหันมาสนใจหนังไทยได้ส่วนหนึ่งแล้ว
ในขณะเดียวกันมันได้ทำลายระบบหนังไทยวัยรุ่นที่เอานักร้อง นายแบบ นางแบบ
มาเล่นมาเป็นจุดขาย คนเหล่านี้จะไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัวของหนังไทยอีกต่อไป
หนังรุ่นใหม่จะต้องให้ความสำคัญของการคัดเลือกตัวนักแสดงให้เหมาะกับบทมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้คือการเปลี่ยนแปลงที่ดีในวงการหนังไทย และจะทำให้กระบวนการทางความคิดอย่างอื่นตามมาเมื่อเหลือการแข่งขันกันในบริษัทสร้างหนังหลักๆ
5-6 บริษัทในเมืองไทย การแข่งขันก็จะเน้นเรื่องคุณภาพจริงๆ
เรื่องนางนากวิสูตรได้มีการเซ็นสัญญามอบให้ตัวแทนที่ยุโรปนำไปจัดจำหน่ายที่ยุโรป
MIRAMAX บริษัทจัดจำหน่ายหนังรายใหญ่ของอเมริกา ได้มา ขอเทปไปดู และเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมานางนากได้ไปเปิดฉายที่สิงคโปร์
แม้ไม่ใช่หนังไทยเรื่องแรกที่ไปฉายที่นั่น แต่วิสูตรบอกว่าเป็นเรื่องแรกที่มีการทุ่มทุนโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างจริงจัง
เป็นเรื่องเป็นราว
"ถ้านางนากเป็นตัวจุดชนวนผม หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้หนังไทยออกสู่ตลาดหนังข้างนอกอย่างต่อเนื่อง
อย่าหยุด เพราะถ้าหยุดเขาจะลืมเราทันทีเหมือนกัน"
ส่วนเรื่องที่ไทเอนเตอร์เทนเม้นท์ เพิ่งปิดกล้องไปก็คือ สตรีเหล็ก ซึ่งเป็นหนังแนวสนุกสนานเป็นเรื่องจริงของทีมวอลเลย์บอลกระเทยที่เป็นแชมป์กีฬาเขตที่นครสวรรค์
และสามารถเล่นชนะ ทีมชาติของทหารอากาศ ก่อนลงเล่นต้องแต่งหน้า ทาปาก เวลาเล่นก็จะมีวี้ดว้ายกระตู้วู้
แต่เขาชนะได้เพราะความ เป็น TEEM WORK ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนไทยต้องติดตามดู
เพื่อพิสูจน์ฝีมือของคนไทยที่หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความ รักในหนังไทย และมุ่งมั่นที่จะสร้าง
สรรค์ผลงานคนนี้ต่อไป