"ชาตรี โสภณพนิช-ณรงค์ชัย อัครเศรณี" ประสานเสียงชูเศรษฐกิจไทยแกร่ง เจ้าสัวเผยต่างประเทศยังเชื่อมั่นศักยภาพการทำธุรกิจในไทย
ชูเศรษฐกิจอยู่ในระดับที่ดีกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค คาดราคาน้ำมันเป็นปัจจัยเสี่ยงชั่วคราวเท่านั้น
เชื่อมือรัฐบาลสามารถรับสถานการณ์ได้ ขณะที่ "ชาติศิริ" ย้ำไม่ปรับเป้าหมายธุรกิจแม้รัฐบาลปรับลดจีดีพี
แนวโน้มดอกเบี้ยยังทรงตัวในครึ่งปีหลัง ด้าน "ศุภวุฒิ สายเชื้อ" คาดดอกเบี้ย จะขยับขึ้น
1% ภายในเวลา 18 เดือน แนะจับตา ธปท. อาจขึ้นดอกเบี้ย สกัดปัญหาเงินเฟ้อ
นายชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า
นักลงทุนต่างประเทศยังให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากพื้นฐาน
เศรษฐกิจของไทยโดยรวมยังอยู่ในระดับดีอยู่ ถึงแม้ว่าปัจจัยเสี่ยงของพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในระยะนี้จะได้รับผลกระทบจากระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอยู่ก็ตาม
แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
"ตอนนี้ก็หวังว่าระดับราคาน้ำมันนั้นจะเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากประเทศไทยก็มีการปรับตัวรองรับกับสถานการณ์ต่างๆ
ได้แต่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ทั้งนี้เป็นผลมาจากไทยมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจดี" ประธานกรรมการ
ธนาคารกรุงเทพ กล่าว
นายชาตรี กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นนั้นก่อให้เกิดความเสียหายหลายอย่าง
แต่เชื่อว่า ระดับราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นในขณะนี้จะเป็นภาวะชั่วคราวมากกว่า เพราะทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า
รัฐบาลมีเงินชดเชยในเรื่องนี้ แต่รัฐบาลก็มีเม็ดเงินจำกัด ไม่สามารถที่จะเข้ามาพยุงราคาน้ำมันได้ตลอดไป
ในขณะนี้เชื่อว่ารัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างหามาตรการควบคุมการใช้น้ำมัน เพื่อไม่ให้มีการ
นำเข้าน้ำมันในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งถือว่าเป็นกลไกชนิดหนึ่งในการควบคุมการใช้น้ำมัน
"ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตเพิ่ม สำหรับในส่วนของภาคธุรกิจธนาคาร
ก็ไม่อยากเห็นราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น หากราคาน้ำมันยังขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้ลูกค้าของธนาคารมีปัญหา
แต่ก็ถือว่าดีใจที่รัฐบาลชุดนี้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง และอยากให้รักษาอย่างนี้ต่อไป"
นายชาตรีกล่าว
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า สำหรับการปรับเป้าจีดีพีลงของสภาพัฒน์ฯนั้น
ในส่วนของธนาคารกรุงเทพ ยังไม่มีการปรับเป้าหมายการทำธุรกิจ โดยเชื่อมั่นว่าเป้าหมายที่วางไว้
จะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายทุกอย่างรวมถึงเป้าการปล่อยสินเชื่อด้วย ส่วนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดนั้นยังไม่มีความกังวลแต่อย่างใด
ส่วนอัตราดอกเบี้ยเชื่อว่าครึ่งปีหลังจะปรับขึ้นเฉพาะดอกเบี้ยระยะยาว ประเภทตราสารหนี้และพันธบัตร
แต่ดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงภายในปีนี้แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศจะปรับตัวเพิ่มขึ้นก็ตาม
ด้านนายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี
จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่าจะมีการขยายตัวในเกณฑ์ดีขึ้น เนื่องจากไทยอยู่ในช่วงของเศรษฐกิจการลงทุนรอบใหม่
มีการลงทุนและการใช้จ่ายจากภาคเอกชนมาก ซึ่งต่างจากเศรษฐกิจในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา
ที่เศรษฐกิจจะต้องมีการขยายตัวจากการผลักดันการลงทุนของภาครัฐบาล
ดังนั้น จึงเชื่อว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะโตได้ในอัตรา 6% สำหรับการคาดการณ์ว่าจะเติบโตถึง
7% นั้นคาดว่าเป็นไปได้ยากเนื่องจากยังมีความเสี่ยงทั้งจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ยังมีการขาดดุลการค้าและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
ตลอดจนความเสี่ยงที่คาดการณ์ไม่ได้
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อในประเทศก็น่าจะอยู่ในระดับ 2-3% ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้น่าจะเกินดุลไม่เกิน
5,000 ล้านบาท สำหรับอัตราดอกเบี้ยของไทยในปีนี้คาดว่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากสภาพคล่องในระบบที่มีมาก
ถึง 6.47 แสนล้านบาท ดังนั้นต้องรอให้ดุลบัญชีเดินสะพัดสมดุลก่อนจึงจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด
กล่าวเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศว่าบล.ภัทร ยังยืนยันว่ามีแนวโน้มปรับขึ้นใน
ช่วงครึ่งหลังของปีนี้แน่นอน โดยเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศจะปรับขึ้นประมาณ
ร้อยละ 1 ภายในระยะเวลา 18 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นกับสภาพคล่องภายในประเทศ และอัตราเงินเฟ้อในประเทศ
โดยคาดว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.5% ภายใน 18 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงทิศทางดอกเบี้ยโลกและอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ
ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น เนื่องจากหากอัตราดอกเบี้ยในประเทศไม่ปรับขึ้น
จะมีผลทำให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ เพื่อไปหาผลตอบแทนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯที่สูงกว่า
คาดว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ มีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยประมาณ
0.25% แต่ไม่ถึง 0.5% แน่นอน และอาจจะเป็นการทยอยปรับตัวขึ้นอีกหลายครั้ง คาดว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯจะปรับขึ้นประมาณ
0.75-1% ภายในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มจากร้อยละ 1 ในปัจจุบัน เป็น 3% ภายในปลายปี
2548 เพื่อให้เศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้ หากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาดก็ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อตลาดมากนัก
เนื่องจากนักลงทุนได้ซึมซับข่าวไปบ้างแล้ว
นอกจากนี้ นายศุภวุฒิยังแนะให้นักลงทุนติดตามการส่งสัญญาณเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.)อย่างใกล้ชิด เนื่องจาก ธปท.เป็นผู้มีข้อมูลและทราบตัวเลขการไหลเข้าออกของเงินทุน
ซึ่งจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งล่าสุด ธปท.ได้ระบุว่ามีความห่วงใยต่ออัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก