Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน11 มิถุนายน 2547
วิโรจน์ลั่นลาออก 8 ก.ค. เล็งเพิ่มTierII หมื่นล้าน             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารกรุงไทย

   
search resources

ธนาคารกรุงไทย
กรุงไทยคอมพิวเตอร์
สุรัตน์ พลาลิขิต
วิโรจน์ นวลแข
Banking




"แบงก์กรุงไทย" เตรียมออกหุ้นกู้ 10,000 ล้านบาท เพิ่มเงินกองทุนขั้นที่ 2 รองรับขยายสินเชื่อตุลาคมนี้ พร้อมยื่นเกณฑ์เพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติเป็น 49% ด้าน "วิโรจน์ นวลแข" เตรียมลาออกหลังครบวาระ 8 ก.ค.นี้ ส่วนจะสมัครอีกหรือไม่ ต้องรออีกระยะหนึ่ง ขณะที่ธุรกิจครึ่งปีหลังเน้นรักษาคุณภาพสินเชื่อมากกว่าปริมาณ ประเมินสภาพดอกเบี้ยขณะนี้มีความเหมาะสมแล้ว เล็งดันบริษัทลูก KCS เข้าตลาดพร้อมเพิ่มทุน อีก 1.2 พันล้าน

นายวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม 2547 ธนาคารจะดำเนินการออกหุ้นกู้จำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสัดส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 2 (Tier II) ที่มีอยู่ 1% หรือมูลค่า 7,000 ล้านบาท ในขณะที่เงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier I) อยู่ที่ระดับ 8.3% มูลค่า 62,000 ล้านบาท การเพิ่มเงินกองทุนครั้งนี้จะทำให้ธนาคารสามารถขยายสินเชื่อได้กว่าแสนล้าน โดยหุ้นกู้ดังกล่าวจะมีอายุขั้นต่ำ 5 ปี ส่วนรูปแบบและเงื่อนไขยังไม่ได้กำหนด แต่ทั้งนี้ได้ขอมติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเรียบร้อยแล้ว

ส่วนแผนการลดสัดส่วนถือหุ้นของทางการในนั้นคาดว่าจะดำเนินการได้ปลายปี 2548 เนื่องจากต้องมีการแก้ไขเกณฑ์การถือหุ้นของต่างชาติจากปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 25% ให้เป็น 49% โดยให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นผู้พิจารณาราคา ซึ่งหากเทียบกับธนาคารอื่นถือว่าราคาหุ้นของธนาคารกรุงไทยอยู่ในระดับต่ำกว่า ในขณะที่ผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

"ปัจจุบันกองทุนฟื้นฟูฯ ถือหุ้นในธนาคารทั้งสิ้น 56.38% ธนาคารออมสิน 0.79% รวมแล้ว 57.17% ในส่วนกรณีของการขายหุ้นใน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด จะมีการเซ็น MOU ในวันที่ 28 มิถุนายน 2547 สำหรับเรื่องของราคานั้นกำลังเร่งเจรจาอยู่" นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ ถือเป็นวันสุดท้ายที่จะทำงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย เนื่องจากครบวาระ ซึ่งหลังจากนี้หากจะกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งใหม่จะต้องยื่นใบลาออกอย่างทางการก่อนจะยื่นใบสมัครใหม่ และโดยหลักของระบบธรรมาภิบาล (Good Governance) ประธานกรรมการบริหาร ปัจจุบัน คือ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ต้องรักษาการไประยะหนึ่งจนกว่าจะได้กรรมการผู้จัดการคนใหม่

"วันที่ 8 ก.ค. ผมทำงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทยเป็นวันสุดท้าย ซึ่งตามกฎหากจะต้องเข้ามาใหม่จะต้องลาออกเสียก่อน โดยหลักการหลังจากผมลาออกแล้วต้องให้ประธานกรรมการบริหาร รักษาการแทนตามหลักธรรมาภิบาล แต่ผมจะสมัครใหม่หรือไม่นั้น ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ในขณะนี้" นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาธนาคารปล่อยสินเชื่อได้ 60,000 ล้านบาท ถือว่าใกล้เคียงกับเป้า 70,000 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีหลังธนาคารให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินเชื่อมากขึ้น ด้วยการซิเคียวริไทเซชัน (แปลงสินทรัพย์เป็น หลักทรัพย์) โดยจะเสนอขายให้กับกองทุนและ นักลงทุนสถาบัน ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส ที่ 3 ส่วนมูลค่าที่เสนอขายจะอยู่ที่หลักหมื่นล้านบาทโดยในขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดแน่นอน

"สินเชื่อรายใหญ่ของธนาคารที่มีวงเงินกู้จำนวน 200 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนประมาณ 50% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด ในการทำซิเคียวริไทเซชัน ครั้งนี้เพื่อต้องการให้มีขนาดของสินเชื่อเล็กลง และมาทดแทนสินเชื่อรายใหญ่ ซึ่งหลังจากทำซิเคียวฯ แล้วธนาคารจะให้ความสำคัญกับสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสินเชื่อรายย่อยเพิ่มขึ้น"

นายวิโรจน์กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยของไทยจะยังคงอยู่ในระดับนี้ต่อไป เนื่องจากไม่มีความจำเป็นที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะนี้ ประกอบกับสัดส่วนเงินกู้และเงินฝากในระบบยังอยู่ที่ประมาณ 80% กว่า ถือว่ายังไม่สมดุล มีช่องว่างอีกกว่า 10% และหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5-1% จึงจะกระทบต่อดอกเบี้ยในประเทศ แต่เชื่อว่าเฟดจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรง

ส่วนจีดีพีที่ปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 6% นั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจธนาคาร ซึ่งระดับดังกล่าวจะทำให้ภาคธุรกิจธนาคารดำเนินธุรกิจแบบปกติ แต่หากเศรษฐกิจมีการขยายตัวจนถึงระดับ 8% หรือเป็นตัวเลข 2 หลัก จะทำให้ธุรกิจธนาคารไม่สามารถตามทัน และหากการขยายตัวทางเศรษฐกิจโต 2 หลักจะถือว่าอันตราย ในขณะที่ลดลงต่ำกว่า 4% จะต้องเพิ่มความระมัดระวัง ซึ่งในส่วนของกรุงไทยยังไม่มีการปรับเป้าการขยายสินเชื่อแต่อย่างใด

ด้านนายสุรัตน์ พลาลิขิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงไทย คอมพิวเตอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด (KCS) บริษัทลูกธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า บริษัทเตรียมเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยจะเสนอขายหุ้น เพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) แก่ผู้ถือหุ้นเดิมและพันธมิตร 1,200 ล้านบาท และจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในสิ้นปีนี้ โดยจะขายหุ้นให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 2,000 ล้านบาท และจะเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 4,000 ล้านบาท ให้ครบ 8,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปีนี้แน่นอน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us