กระแสข่าวการจะจับมือเป็นพันธมิตรทางการค้าเพื่อร่วมดำเนินธุรกิจไปด้วยกัน ระหว่าง
บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด(มหาชน) (EGV) และบริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์
จำกัด(มหาชน) (MAJOR) ซึ่งเป็นข่าวออกมาจากวงในว่าผู้บริหารของทั้งสองบริษัทได้มีการพูดคุยกันในเบื้องต้นเพื่อที่จะทำธุรกิจร่วมกัน
นายเสริมศักดิ์ ขวัญพ่วง ผู้อำนวยการการเงินและบริหาร บริษัท อีจีวี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์
จำกัด (มหาชน) (EGV) เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะขณะนี้บริษัทต้องเดินหน้าในการขยายงาน
การลงทุนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่การหาพันธมิตรในการทำธุรกิจก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
เพราะปัจจุบันการมีพันธมิตรที่จะมาเกื้อหนุนในการดำเนินธุรกิจเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีต่าง
ๆ เข้ามามีบทบาทในการดำเนินธุรกิจแล้วยิ่งถือว่าจำเป็น แต่ในทางปฏิบัติจะเริ่มต้นได้เมื่อไหร่ก็ต้องดูเวลา
จังหวะและโอกาส ซึ่งโอกาสอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อตามความเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม นายเสริมศักดิ์ปฏิเสธอย่างไม่เต็มปากนักกับเรื่องดังกล่าวในขณะนี้
ซึ่งก็ไม่ต่างกับเรื่องก่อนหน้านี้ที่ฮือฮากันมากเกี่ยวกับการเปิดทางให้กลุ่ม ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (SHIN) เข้ามาถือหุ้นใน EGV แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบลง
ทั้งที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทแล้ว แต่การเงียบลงไม่ได้หมายความว่าดีลนี้จะล้มแต่อย่างใด
นายเสริมศักดิ์กล่าวว่า การร่วมมือกันเพื่อทำธุรกิจอาจเริ่มต้นใหม่และจบลงเมื่อไหร่ก็ได้
เพราะอย่างน้อย EGV ต้องการพันธมิตร ซึ่งหากได้พันธมิตรที่มีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง
ย่อมส่งผลดีต่อสายป่านทางการเงินที่จะเข้ามาเสริมงานได้ด้วย ซึ่ง EGV ก็เป็นที่จับตาของวงการไม่น้อยว่าการออกหุ้นเพิ่มทุนล็อตดังกล่าวที่ว่าจะออก
115 ล้านหุ้นพร้อมด้วยวอร์แรนต์ฟรีให้กับผู้ถือหุ้นเดิมด้วย
สำหรับไตรมาส 2 ปีนี้ EGV ยังมั่นใจในผลการดำเนินงานว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย เพราะช่วงนี้มีภาพยนตร์ที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากประชาชนที่จะเข้าฉาย
และเป็นช่วงที่นักเรียนปิดภาคการศึกษา จึงจะมีลูกค้าเข้าชมภาพยนตร์มากขึ้นกว่าปกติ
ขณะที่การขยายงานปีนี้ คงต้องล่าช้าไป และการเปิดสาขาโรงภาพยนตร์เพิ่มอีก 3 แห่งปีนี้คงต้องล่าช้าออกไปด้วย
จากเดิมที่จะเปิดต้นปีนี้ก็ต้องเลื่อนไปเป็นต้นปีหน้า ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเหตุที่ต้องเลื่อนออกไป
เพราะโปรเจกต์ไม่พร้อม ขณะเดียวกันเงินที่จะเป็นทุนในการลงทุนถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาด้วย
อย่างไรก็ตาม EGV ยังยืนยันว่าปีนี้เป้าหมายรายได้ของบริษัทยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้และไม่กระทบกันระหว่างการสร้างรายได้ปีนี้
กับแผนการลงทุนของบริษัท โดยก่อนหน้านี้ EGV ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ปีนี้ไว้ที่
15% พร้อมกับการเตรียมหาสถานที่ที่เหมาะสม ในการเปิดศูนย์บันเทิงแห่งใหม่ แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด
เนื่องจากปลายปี 46 ที่บริษัทเปิดสาขาเพิ่มใหม่คือ อีจีวี สาขาเมโทรโปรลิสที่ราชดำริ
และเป็นสาขาที่บริษัทมั่นใจมากว่าจะทำเงินเข้ากระเป๋าไม่น้อยในแต่ละปี ทำให้บริษัทปรับเป้าหมายของการเติบโตเพิ่มจากเดิมเป็น
30% เพราะคาดว่ารายได้จากสาขาเมโทรโปรลิสจะทำเงินเข้ามาในบริษัทอย่างมาก
โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยงวดไตรมาส 1 ของปี 47 (1 ม.ค. 47 -
31 มี.ค. 47) มีกำไรสุทธิ 19.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 หรือ 8.71 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 1 ของปี 46 (1 ม.ค. 46 - 31 มี.ค. 46) ที่บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ
10.48 ล้านบาท
เนื่องจากในไตรมาส 3 ของปี 47 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 318.17 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 57.16 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 22 จากงวดไตรมาส 3 ของปี 46 สาเหตุที่รายได้รวมเติบโตในระดับสูง
เป็นผลจากรายได้ธุรกิจโฆษณาที่เติบโตสูงมากถึงร้อยละ 190 จาก 30.65 ล้านบาท เป็น
88.86 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามภาวะอุตสาหกรรมโฆษณาผ่านสื่อโรงภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น
ประกอบกับบริษัทได้พันธมิตรทางการค้าเพิ่มหลายราย
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีรายได้ค่าเช่าและบริการที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 619 จาก 3.96
ล้านบาทในไตรมาส 3 ของปี 46 เป็น 28.48 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้รับรายได้ค่าเช่าห้องคาราโอเกะเพิ่มมากขึ้นและขยายพื้นที่ให้เช่าในสาขาใหม่
ผลจากการขยายธุรกิจ ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมเติบโตในทิศทางเดียวกับรายได้โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ
22 เป็น 285.39 ล้านบาท จาก 233.63 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 46 โดยต้นทุนขายพุ่งขึ้นร้อยละ
20 เป็น 241.58 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารก็โตร้อยละ 35 เป็น
43.63 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการเปิดให้บริการสาขาแห่งใหม่คือ เมโทโปรลิส
เมื่อปลายปี 46 ที่ผ่านมา อีกทั้งการเพิ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์และการจ้างพนักงานตามส่วนงานเพิ่มเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากภาวะของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง