ผู้บริหารแอล.พี.เอ็น. แย้งบทวิเคราะห์ยอดรับรู้รายได้ปี 47-48 ต่ำกว่า ประมาณการ
แต่ยอมรับอาจเลื่อนไปบางไตรมาสบ้าง แต่ไม่พลาดเป้าแน่นอน พร้อมลุยเปิดโครงการอย่างต่อเนื่อง
นายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล. พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์
จำกัด (มหาชน) กล่าวยืนยันว่า ยอดตัวเลขรับรู้รายได้ของบริษัทในปี 2547-2548 ยังไม่ต่ำกว่าที่บริษัทประเมินไว้โดยคาดว่าในปีนี้และปีหน้ายอดรับรู้รายได้จะไม่ต่ำกว่า
4,000 ล้านบาท โดยในช่วงต้นปี บริษัทมียอดขายแล้วประมาณ 2,500-2,700 ล้านบาท ซึ่งยอดขาย
จะทยอยไปรับรู้รายได้ในปีหน้า โดยในแต่ละปีบริษัทจะพยายามรักษากำไรไม่ให้ต่ำกว่า
20% ซึ่งที่ผ่านมาสามารถทำได้ระดับที่สูงกว่าเป้าที่วางไว้
"ในความรู้สึกของคนหรือนักวิเคราะห์แล้วจะคิดว่า ผลกระทบจากการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
หรือที่รู้จักกันในชื่อ "EIA" จะสร้างผลกระทบกับบริษัทในเรื่องของความล่าช้าในการรับรู้รายได้
ซึ่งมองว่ายอดรับรู้รายได้ทั้งปีจะพลาดเป้า เพราะบริษัทได้รับรู้ปัญหาดังกล่าวมานาน
และมีการปรับเปลี่ยนแผน โดยการทำแผนให้สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
การยื่นเรื่องที่เร็วขึ้น เพราะบริษัทอยู่ในวงการนี้มานาน และพอจะมีวิธีในการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ ด้วยความชัดเจนทางด้านผลิตภัณฑ์ และการมีกลุ่มลูกค้าที่วางตามแนวโครงการ
เช่น คอนโดมิเนียมในเมืองจะเน้นรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาท หรือนอกเมืองจะอยู่ที่
15,000 บาท ซึ่งเรื่องราคาและทำเลเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด" นายทิฆัมพร
กล่าว
สำหรับแผนการเปิดโครงการในปี 2547 ในช่วงต้นปีเปิดโครงการไปแล้ว 3 โครงการคือ
โครงการลุมพินี เพลส พระราม 3-ริเวอร์วิว มูลค่า 950 ล้านบาท, โครงการลุมพินี วิลล์
รัชดา-ลาดพร้าว และโครงการลุมพินี เซ็นเตอร์ สุขุมวิท 77 มูลค่ารวมประมาณ 1,500
ล้าน ขณะที่ในไตรมาส 3 จะเปิดโครงการบริเวณพื้นที่พหลโยธิน มูลค่า 800 ล้านบาท
และขยายโครงการในเฟสที่ 2 ในส่วนสุขุมวิท อ่อนนุช 77 มูลค่าประมาณ 800-1,000 ล้านบาท
ขณะที่ด้านบทวิเคราะห์ จากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)
กล่าวถึงยอดรับรู้รายได้ของบริษัทฯว่า ไตรมาส 2 ของปี 47 จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ
600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจากไตรมาสที่ 1 ที่ 140 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่
193 ล้านบาท โดยเป็นการรับรู้รายได้ในโครงการพระราม 3-เจริญกรุง, พระแม่มารี-สาทร
และการขายสัญญาเช่า
มูลค่าโครงการที่เปิดใหม่ในปีนี้ ยังเป็นไปตามแผนเดิม แต่การรับรู้รายได้ในปี
2547-2548 จะต่ำจากประมาณการเดิม โดยในปี 47 บริษัทยังคงแผนเดิมเปิดโครงการใหม่มูลค่า
5,300 ล้านบาทตามเดิม เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบดังกล่าวข้างต้น แต่การรับรู้รายได้ในปี
47-48 จะต่ำกว่า ประมาณเดิม เนื่องจากต้องใช้เวลาอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อม ประมาณ
4-8 เดือน ยังผลให้การรับรู้รายได้จะเลื่อนออกไป
ปี 47 คาด Dividend yield 6% บริษัทยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผล 50% ของกำไรสุทธิ
ประมารการว่าปี 47 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 0.15 บาท ณ ราคาปิด 2.50 บาท คิดเป็น
Dividend yield 5.5% โดยบริษัทได้แนะนำคงถือ ณ ราคาปัจจุบัน 2.82 บาท ซื้อขายที่
PE-Fully Diluted ปี 47 เท่ากับ 9.2 เท่า, PBV 1.6 เท่า และ PCF 8.9เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล
5.5% ในปี 47 แนะนำให้ถือ โดยให้ราคาเป้าหมาย ปี 47 เท่ากับ 3.10 บาท (ให้ PE-Fully
Diluted ปี 47 เท่ากับ 10 เท่า)