รัตน์ พานิชพันธ์ ผู้ปรับรวมแนวคิดชีวิตกับการทำงาน บนเส้นทางการเปลี่ยนที่แตกต่างจากชีวิตนักบริหารสถาบันการเงิน สู่ความสำเร็จภายใต้แบรนด์ "ควอลิตี้เฮ้าส์" แต่กว่าจะพัฒนาแบรนด์ของควอลิตี้เฮ้าส์ให้ติดตลาดได้ขณะนี้
ใช่ว่า "เส้นทาง" ชีวิตจะมีจุดเริ่มต้น มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่กลับกลายมีจุดเริ่มต้นมาจากธุรกิจ
อื่น แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ความเป็นมาของนักบริหารรุ่นเดอะ อย่างรัตน์ พานิชพันธ์
!!!
เพราะจริงๆ แล้ว เส้นทางของการทำงานของนักบริหารผู้นี้ ไม่ได้เติบโตมาในแวดวงธุรกิจอสังหาฯ
ตั้งแต่แรกเริ่ม จนกระทั่งมานั่งอยู่ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของบริษัทจัดสรรขนาดใหญ่อย่าง
"ควอลิตี้เฮ้าส์" ผู้นำประโยคฮิต "บ้าน 5 คุณภาพ" เข้ามาปฏิวัติ
วงการบ้านจัดสรรในบ้านเรา
สำหรับเส้นทางการดำเนินชีวิต และการทำงานนั้น นายรัตน์บอกถึงจุดเริ่มต้นว่า "แรกเริ่มเดิมทีผมเริ่มทำงาน
ในปี 2515 โดยทำงานในตำแหน่งพนักงานหาเงินฝากให้กับ (อดีต) บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
(บงล.) ทิสโก้ ผมทำงานอยู่ที่นี่อยู่ได้ ปีกว่าๆ ก็ย้ายไปทำงานกับ ธนาคารไทยพาณิชย์
รับหน้าที่เป็นพนักงานธนาคาร จนกระทั่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการอาวุโส หลังจากนั้นธนาคารได้ส่งตัวเข้ามาช่วยงานตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ
อยู่กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนสยาม
ผมใช้เวลาทำงานอยู่ที่นี่ 8 ปี ก่อนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) จะมีนโยบายให้ควบรวมแบงก์ เนื่องจากในขณะนั้น สภาวะเศรษฐกิจเริ่มเกิดการผันผวน ลูกค้าของธนาคารต่างๆ
เกิดความไม่มั่นใจ ทำให้ลูกค้าแห่กันมาถอน เงินฝากออกจากธนาคาร"
ต่อมาหลังจากที่มีการควบรวมแบงก์แล้ว เขาได้ย้ายเข้ามาเป็นผู้บริหาร ในตำแหน่งกรรมการ
ผู้จัดการกลุ่มบ้านปู เพาเวอร์ ซึ่งเป็นการบริหารงานเกี่ยวกับธุรกิจโรงไฟฟ้า และทำงานอยู่ในกลุ่มบ้านปู
ถึง 3 ปี ก่อนจะได้ย้ายมาเป็น ผู้บริหารของบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
ในปี 2544 ซึ่งนับว่าเป็นการเปลี่ยนมาทำงาน ในอีกรูปแบบหนึ่งที่ยังไม่เคยเข้าจับธุรกิจ
อสังหาฯมาก่อน
"แนวคิดในการทำงานของผม ค่อนข้างแตกต่างออกไปจากผู้บริหาร คนอื่นๆ เนื่องจากผมไม่มีประสบการณ์ในการทำงานด้านอสังหาฯ
มาก่อน วงการอสังหาฯจึงถือว่าเป็นสิ่งใหม่ที่ท้าทายที่ได้เข้ามาสัมผัส ช่วงแรกที่เข้ามาบริหารงานใน
ควอลิตี้เฮ้าส์นั้น สิ่งที่ต้องทำคือ พยายามคิดว่าจะทำอย่างไรให้ทำธุรกิจที่คนอื่นเค้าทำกันอยู่นี้
มีความแตกต่างออกไป เพราะถ้าเราเข้ามาทำแล้วไม่เกิดความแตกต่างออกไป ก็คงเป็นเหมือนผู้ประกอบการรายอื่นๆ
แต่การจะสร้างบ้านให้เกิดความแตกต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิงเลยนั้นคงเป็นไปไม่ได้
จนในที่สุด คำตอบที่ผมได้รับจากโจทย์ที่มีอยู่ในตลาดก็คือ เราต้องทำในสิ่งที่คนอื่นเขายังไม่ได้ทำ
สิ่งนี้เรียกว่า "ความแตกต่าง" ที่คนอื่นยังไม่ได้ทำ ก็คือเรื่องของคุณภาพของบ้าน"
เพราะขณะนั้นในตลาดอสังหาฯ ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใด ให้ความ สำคัญกับคำว่าคุณภาพมากนัก
!! "และจากจุดนี้เองจึงเป็นที่มาของสโลแกน "บ้าน 5 คุณภาพ" เพราะผมคิดว่าการที่คนเราจะเลือก
ซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง คงไม่มีใครอยากได้บ้านที่ไม่มีคุณภาพ ในหนึ่งชีวิตของคนเรานั้นจะมีซักกี่คนที่ซื้อ
บ้านได้หลายๆ หลัง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น คำว่าคุณภาพคงไม่มีความจำเป็น แต่ในความเป็นจริงแล้ว
คนเราส่วน ใหญ่จะซื้อบ้านแค่ครั้งเดียวและ ต้องอยู่กับบ้านไปจนตอดชีวิต และต้องตกทอดไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานของตนด้วย
ดังนั้น คำว่าคุณภาพจึงมีความจำเป็นมากสำหรับคนซื้อบ้าน...
คำว่าบ้าน 5 คุณภาพ จริงๆ แล้วมีความสำคัญต่อความเป็นนักพัฒนาอสังหาฯ ซึ่งจะช่วยสร้างให้เกิดความพอใจกับลูกค้าได้นั้น
ต้องมีคุณภาพใน 5 ด้านด้วยกัน คือ 1. ต้องมีคุณภาพด้านการออกแบบ ที่ได้มาตรฐาน
มีฟังก์ชันเพื่อตอบสนองความพอใจของลูกค้า 2. การ เลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างต้องมีคุณภาพ
เพราะจะทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานอยู่กับเจ้าของบ้าน ได้โดยไม่เสียหายก่อนเวลาอันควร
3. เรื่องของสังคมและชีวิตของลูกค้าในโครงการหลังการขาย 4.ต้องมีคุณภาพเรื่องความปลอดภัย
ในชีวิตและทรัพย์สินของลูกค้า ดังนั้นในแต่ละโครงการของ "ควอลิตี้เฮ้าส์" นั้นจึงมีการจัดการเรื่องระบบความปลอดภัยที่ดี
ส่วนคุณภาพที่ 5 นั้นถือว่าเป็น สิ่งสำคัญ เพราะยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดให้ความสำคัญในเรื่องของบริการหลังการขาย
เช่น บ้านมีปัญหาบริษัทก็จะเข้าไปดูแลให้ มีการสนับสนุนให้ลูกค้าในโครงการ มีกิจกรรมร่วมกันในสโมสรของหมู่บ้าน
สิ่งหนึ่งที่ผมเล่ามานี้ เป็นเพียงบางส่วนของกลยุทธ์ในการสร้างความแตกต่างใหม่ๆ
ในตลาดอสังหาฯ เท่านั้น"
แม้ชีวิตในการทำงานดูเหมือนต้องมุ่งสร้างความแตกต่างให้กับกลุ่มผู้บริโภคในตลาด
เพื่อสามารถแข่งขัน และสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งลูกค้าในตลาดที่ค่อนข้างวุ่นวาย
แต่สำหรับชีวิตของเขาในวันว่างดูเหมือนจะตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง เขาพูดถึงการใช้ชีวิตในวันว่าง
ว่า "ผมไม่ใช่คนที่ชอบเล่นกอล์ฟ เหมือนกับที่หลายๆ คนเขาทำกัน แต่จะชอบอยู่กับครอบครัวมากกว่า
กิจกรรมที่ทำร่วมกับครอบครัว ในวันหยุดส่วนใหญ่เราจะใช้เวลากับการดูภาพยนตร์ด้วยกันบ้าง
ฟังเพลงบ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะดูหนังด้วยกัน ส่วนตัวผมจะชอบดูหนังประเภทสืบสวนสอบ
สวน ส่วนลูกสาวและภรรยาจะชอบดูหนังประเภทวัยรุ่นสมัยใหม่ เพราะฉะนั้นในเวลาที่ผมดูหนัง
ก็มีบางครั้งที่ผมอาจจะหลับรอให้สองแม่ลูกดูหนังไปก่อน ส่วนในเวลาที่เปิดหนังประเภทที่ผมชอบแม่ลูกก็จะดูอยู่ด้วยหรือหลับรอเหมือนกัน
ส่วนงานอดิเรกนั้นผมจะเป็นคนชอบปลูกต้นไม้ โดยเฉพาะไม้ประเภทปาล์ม ซึ่งในตอนนี้มีสะสมอยู่ประมาณ 100 ชนิด แต่ถือว่าเป็นส่วนน้อย เพราะจริงๆ แล้วต้นปาล์มมีอยู่ทั้งหมด
4,000 กว่าชนิด ส่วนเหตุผลที่ชอบปาล์มนั้น คงเป็นเพราะชอบในความสวยงาม และเป็นไม้ที่น่าศึกษา
เป็นต้นไม้ไม่สลัดใบ มีความเป็นระเบียบ มีวินัย ไม่ระรานคนอื่น สำหรับปาล์มที่หายากก็คือ
12 ปันนา หรือที่เรียกว่ามะพร้าวแฝด เป็นไม้ในแถบประเทศแอฟริกา ซึ่งในปัจจุบันเป็นไม้ห้ามส่งออกไปแล้ว
และด้วยความที่เป็นคนชอบต้นไม้นี้เอง ผมได้นำแนวคิดส่วนนี้มา ปรับใช้กับการทำงาน
โดยจัดให้มีการ จัดพื้นที่สวนในโครงการของ ควอลิตี้ เฮ้าส์ ด้วย ซึ่งเรื่องการจัดสวนให้ใน
โครงการจัดสรรมีสีเขียวนี้ ถือว่าเรา เป็นเจ้าแรกที่นำเข้ามา เพราะเมื่อก่อนผมคิดว่าเป็นเรื่องตลกมากที่โครงการต่างๆ
ไม่มีโครงการใดให้ความสำคัญในส่วนนี้เลย
เห็นโครงการต่างๆ ที่ทำกันแล้ว รู้สึกขำ เพราะมีแต่บ้านไม่มีความร่มรื่น ไม่มีความเขียวเลย
ดังนั้นเราจึงนำความเขียวจัดไว้ในโครงการของบริษัทฯ โดยขณะนี้ ทุกโครงการได้ว่าจ้างให้
นายกำพล ตันสัจจา หรือเสี่ยโต้ง เจ้าของสวน นงนุช ชลบุรี เข้ามาช่วยในการจัดสรรพื้นที่สีเขียวในโครงการให้
และที่เลือกคุณกำพล เข้ามาช่วยเพราะรู้จักและเคยปรึกษาพูดคุยกันเรื่องต้นไม้ด้วยกันมานาน
เมื่อมีโอกาสจึงชวนมาร่วมงานด้วย"